วันจันทร์ที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔

ทางคัมภีร์พระพุทธศาสนา


 ตายแล้วไปไหน  
 เรื่อง     “ตายแล้วไปไหน”     เป็นปัญหาที่น่าคิดและน่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง  ที่มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาค้นคิดกันมานานแล้ว    ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน  ว่าคนเราตายแล้วไปไหน ?  ตายแล้วเกิดอีกหรือเปล่า ?  นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ ?   วิญญาณหรือจิตมีจริงหรือเปล่า ?  ผีมีจริงหรือไม่ ?    คำตอบต่อปัญหาเหล่านี้ คือสิ่งที่จะนำมาชี้แจงให้ทราบในที่นี้เดิมทีเดียว      แม้ผู้เขียนเองก็ไม่ค่อยเชื่อว่า ตายแล้วจะมีการเกิดอีกแม้เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็ยังสงสัยอยู่ แต่เมื่อได้ศึกษาค้นคว้าตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง       แต่ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจอยู่นั่นเอง  เพราะเป็นเพียงพบหลักฐานในตำราเท่านั้น เมื่อได้ปฏิบัติกรรมฐาน    และได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งได้เดินทางรอนแรมไปทั้งในประเทศไทยแล้วต่างประเทศหลายแห่ง ได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ในที่สุดก็ต้องยอมรับตามที่พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันไว้ว่า   คนเราตายแล้วต้องไปตามกรรมของตน แต่ที่ว่าไปไหนนั้นยังให้คำตอบชี้ชัดลงไปแน่นอนไม่ได้  เพราะแล้วแต่กรรมที่ทำไว้จะเสกสรรค์ให้เป็นไป

จิตเป็นตัวนำไปเกิด
        พระพุทธศาสนาเชื่อถือ ในสังสารวัฏ-การเวียนว่ายตายเกิดและถือว่าคนเราทุกคนล้วนเกิดมาแล้วทั้งสิ้น   นับชาติไม่ถ้วน   และเกิดในภพภูมิที่ดีบ้าง     ไม่ดีบ้าง ตามกฎแห่งกรรมที่ได้ทำไว้ทั้งดีและชั่ว   ถ้ายังมีกิเลสอันเปรียบเหมือนยางเหนียวในพืชอยู่ตราบใดก็ต้องเวียน ว่าย ตาย เกิดอยู่ตราบนั้น จิตที่ได้รับการอบรมแล้ว    ถ้ายังไม่สิ้นกิเลส ก็ย่อมนำไปเกิดในภพภูมิที่ประณีต มีความสุขประเสริฐ       และสูงขึ้น แต่ถ้าจิตไม่ได้รับการฝึกอบรม ปล่อยไว้ตามสภาพที่มันเป็น    ปล่อยให้สกปรกเศร้าหมองเพราะถูกกิเลสเกาะกิน นอกจากจะก่อความทุกข์ความเดือดร้อน     ให้แก่ตนเองและสังคมในชาตินี้แล้ว      ยังจะให้ภพชาติต่ำทรามลงไป ต้องประสบความทุกข์ ความเดือดร้อนมากในชาติต่อ ๆ ไปอีกด้วย หากจะมีใครถามว่า “ที่ว่าคนเราตายนั้น ร่างกายตายหรือจิตตาย หรือว่าตายทั้งสองอย่าง” ขอตอบว่า “ตายเฉพาะร่างกายเท่านั้น จิตหาได้ตายไปเหมือนกับร่างกายนั้นไม่ แต่ไปเกิดในภพใหม่ชาติใหม่   ตามแรงของกรรม   ซึ่งส่งบุคคลเราไปเกิดในภพชาตินั้น ๆ เปรียบเหมือนเรือนที่ถูกไฟไหม้ โดยที่เจ้าของไม่ได้เป็นอันตราย อยากจะถามว่า    “เมื่อเรือนถูกไฟไหม้เสียแล้วเจ้าของเรือนจะไปอยู่ที่ไหน”  ขอตอบว่า  “เขาจะต้องหาที่แห่งใหม่อยู่ตามที่เขาจะสามารถหาอยู่ได้  กล่าวคือ  ถ้าผู้นั้นเป็นคนมีความสามารถดี มีเงินทองอยู่มาก หรือมีญาติพี่น้องคอยให้ความช่วยเหลืออยู่     เขาก็อาจสร้างบ้านใหม่ได้ดี   หรือไปอาศัยญาติพี่น้องอยู่  แต่ถ้าผู้นั้นไร้ความสามารถ ยากจนสิ้นเนื้อประดาตัว ไร้ญาติขาดมิตร เขาก็ย่อมไปหาที่อยู่ตามยถากรรมของเขา ฉันใด  คนเราที่ตายไปจากโลกนี้แล้ว   ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อร่างกายเดิมใช้การมิได้แล้ว ก็ย่อมไปเกิดในภพใหม่ชาติใหม่  ตามพลังแห่งกรรมที่ตนได้ทำเอาไว้ ถ้าเขาทำกรรมดีไว้มาก  คือพัฒนาอบรมจิตตนเองได้มากแล้ว    ก็ย่อมไปบังเกิดในที่ดี มีความสุข ถ้าเขาทำความดีไว้น้อย แต่ทำความชั่วไว้มาก คือยังด้อยในด้านพัฒนาจิตใจของตนอยู่เขาก็ย่อมไปเกิดในที่มีความทุกข์ตามยถากรรมของตน

จิตเป็นตัวสั่งสมบุญและบาป
        ลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งของจิต     ก็คือ  เป็นตัวสั่งสมบุญ บาปกรรมและกิเลสเอาไว้ ก็เมื่อจิตมีหน้าที่รับอารมณ์ จึงเก็บอารมณ์ทุกชนิดทั้งที่เป็นบุญ  ทั้งที่เป็นบาป ทั้งที่ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาปเอาไว้ แล้วเก็บไว้ในภวังค์ที่เรียกว่า ภวังคจิต เก็บไว้ได้หมดสิ้นอย่างละเอียด และสามารถนำติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปได้ด้วย
       ลักษณะที่จิตเก็บบุญและบาปเอาไว้นั้น  เหมือนกระดาษซับ  ที่สามารถซับน้ำเอาไว้  คือ  ตามปกติเมื่อมีน้ำหกราดลงบนโต๊ะ หรือบนพื้นห้องถ้ามีกระดาษซับ เรามักจะใช้กระดาษนี้ซับ   น้ำที่หกราดนั้นให้แห้งไปได้   กระดาษซับสามารกเก็บน้ำได้หมดฉันใด จิตก็เหมือนกัน   เมื่อคนเราทำบุญหรือบาปลงไปจิตก็ซับเก็บไว้ได้หมด  ฉันนั้น  จิตจึงเป็นสภาพพิเศษที่น่าศึกษาจริง ๆ    และเราทุกคนก็ได้ใช้จิตสั่งงานอยู่เกือบตลอดเวลา  คนฉลาดจึงเห็นคุณค่าในการพัฒนาจิต อบรมจิตของตน
      ในเรื่องที่จิตสามารถเก็บบุญและบาปเอาไว้จนถึงนำข้ามภพข้ามชาติไปได้นี้ บางคนอาจจะสงสัยและคัดค้านว่า        “ถ้าหากว่าจิตมีลักษณะเกิดดับอยู่ตลอดเวลาแล้ว จะติดตามจิตต่อไปได้อย่างไร  เพราะบุญและบาปได้ดับไปพร้อมจิตดวงนั้นเสียแล้ว”
      ข้อนี้ขอเฉลยว่า ธรรมชาติของจิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา และเกิดดับสืบต่อกันไปไม่ขาดสาย  เหมือนกระแสไฟฟ้าที่ทำให้แสงสว่างติดต่อกันตลอด เพราะเกิดดับไวมาก อันธรรมชาติของจิตนั้น ก่อนที่มันจะดับ ไป ได้ถ่ายทอดทิ้งเชื้อ คือ บุญ บาป กรรม กิเลส   ไว้ให้จิตดวงต่อไป    เก็บไว้นำต่อไป   แล้วแสดงผลออกมาเป็นระยะตามพลังแห่งกรรม คือบุญและบาปที่ได้สั่งสมไว้ บุญบาป มิได้สูญหายไปพร้อมกับความตายของร่างกาย หรือพร้อมกับความดับของจิต      แต่ได้ถ่ายทอดสืบเนื่องไปตลอดเวลา เหมือนกับพันธุกรรมของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ถ่ายทอดสืบต่อมาจากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ทวด แม้ท่านจะตายล่วงลับไปแล้ว  แต่ตัวท่านก็ยังมีอยู่ เพราะยีน  (Gene)   ซึ่งถ่ายทอดมาจากสเปอร์ม  และไข่     อันเป็นเชื้อในพันธุกรรมของท่านซึ่งเปรียบเสมือนบุญและบาป ยังสืบต่ออยู่ในบุตรหลานของท่านเพราะฉะนั้น   บุญ บาป จึงมิได้หายไปตราบเท่าที่คนนั้นยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ แม้จิตจะเป็นธรรมชาติเกิดดับอยู่ตลอดเวลาก็ตาม   คนที่เคยพัฒนาตนไว้ดีเมื่อชาติก่อน ๆ เมื่อมาสู่ชาตินี้ จิตก็ยังมีคุณภาพสูงอยู่ ดังที่เราได้พบเห็นท่านผู้ที่มีบุญมากมาเกิด จึงเป็นคนมีรูปร่างดี ปัญญาเฉียบแหลม จิตใจเข้มแข็ง ประกอบด้วยเมตตากรุณา เป็นต้น  แต่ถ้าผู้นั้นจะกินแต่บุญเก่าอย่างเดียว  ไม่ยอมพัฒนาตนเองในปัจจุบัน พลังของบุญหรือพลังแห่งการพัฒนาตนไว้เมื่อชาติก่อนนั้นย่อมหมดไป ฉะนั้น คนที่ฉลาดจึงไม่หวังแต่กินบุญเก่าอย่างเดียว เขาจะพยายามเพิ่มบุญใหม่ด้วยการพัฒนาตน อบรมตนในปัจจุบันด้วย


บุญและบาป
       เนื่องจากจิตเป็นตัวรับหรือเก็บเอาบุญบาปเอาไว้    ฉะนั้นการศึกษาให้เข้าใจเรื่องบุญบาปตามหลักพระพุทธศาสนา จึงมีความจำเป็นประการหนึ่งในการอบรมจิต  เพราะจิตของคนที่สั่งสมบุญไว้มาก เป็นจิตที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากเป็นจิตที่ได้รับการพัฒนา  ส่วนจิตของคนที่สั่งสมบาป หรือทำบาปไว้มาก    เป็นจิตที่มีคุณภาพต่ำ เพราะการขาดการพัฒนา ฉะนั้น จิตของคนที่มีบุญมากกับมีบาปมาก    จึงต่างกันมาก    เหมือนกับสภาพของประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศที่ด้อยพัฒนา เราจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันประชาชนในหมู่ประเทศทั้ง ๒ มีความเป็นอยู่แตกต่างกันมาก
ลักษณะของบุญ

         บุญ คือสภาวะของจิตที่เกิดขึ้นมาแล้วผ่องใส ดีงาม ให้ผลเป็นความสุข
   บุญมีลักษณะที่จะเข้าใจได้ง่าย ๆ อยู่ ๓ ประการ คือ
 ก. เมื่อกล่าวถึงเหตุของบุญ ได้แก่ การทำความดีทุกอย่าง
 ข. เมื่อกล่าวถึงผลของบุญ ได้แก่ ความสุขกาย สุขใจทั้งในชาตินี้และในชาติต่อไป
 ค. เมื่อกล่าวถึงสภาพของจิต ได้แก่ จิตใจที่สะอาดผ่องใส
  เพราะฉะนั้น     บุญก็คือการทำความดี        อันเป็นเหตุทำจิตของตนให้ผ่องใสสะอาด แล้วก่อผลส่งผลให้เกิดความสุขความเจริญทั้งร่างกายและจิตใจ   ให้แก่คนที่ทำบุญไว้ หรือคนที่อบรมจิตของตน หรือจะพูดอย่างย่อก็คือ บุญก็คือความสุขนั่นเอง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า     “ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย คำว่าบุญนี้เป็นชื่อแห่งความสุข”
(องฺ.* สตฺตก. ๒๓/๙๕/๙๐)
       การยกหลักฐานจากพระไตรปิฎกมาอ้างอิงไว้ด้วย ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าที่เขียนมานี้ ไม่ใช่พูดขึ้นมาเองโดยไม่มีหลักฐาน และเพื่อให้ท่านผู้สนใจได้ค้นเพิ่มเติมจากพระไตรปิฎกโดยตรงพระไตรปิฎกที่ยกมาอ้างอิงนี้ เป็นฉบับบภาษาบาลี อักษรย่อตัวแรก หมายถึงชื่อคัมภีร์ ตัวที่ ๒ หมายถึงหมวดของคัมภีร์นั้น ตัวเลขอันดับแรก หมายถึงเล่มของพระไตรปิฎก.  อันดับสอง หมายถึงข้อ. อันดับสาม หมายถึงหน้าของพระไตรปิฎกเล่มนั้น เช่น องฺ. สตฺตก.  หมายถึง สัตตกนิบาต. ๒๓ หมายถึงเล่มที่ ๒๓. เลขอันดับกลาง คือ ๙๕ หมายถึง ข้อที่ ๙๕ ส่วน ๙๐ หมายถึงหน้า ๙๐
ลักษณะของบาป
       บาป คือ สภาวะของจิตที่เกิดขึ้นแล้วเศร้าหมอง เร้าร้อน ให้ผลเป็นความทุกข์
 ส่วนบาปนั้น มีลักษณะตรงกันข้ามกับบุญ   ซึ่งมีลักษณะ ๓ อย่าง เช่นเดียวกัน  คือ
             ก. เมื่อกล่าวถึงเหตุของบาป  ได้แก่  การทำชั่วทุกอย่าง
             ข. เมื่อกล่าวถึงผลของบาป  ได้แก่ ความทุกข์กาย ทุกข์ใจทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า
             ค. เมื่อกล่าวถึงสภาพของจิตใจ ได้แก่  ความสกปรกเศร้าหมองของจิตใจ
ฉะนั้น บาปก็คือชั่ว   อันเป็นเหตุทำจิตใจของตนให้สกปรกเศร้าหมอง แล้วส่งผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน พระพุทธเจ้าจึงตรัสเตือนไว้ว่า “ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า เพราะว่าความชั่วย่อมตามเผาผลาญในภายหลังได้”
        (ขุ.ธ. ๒๕/๓๒/๕๖)


ตายแล้วไปไหน

ปัญหาเรื่องนรกสวรรค์
      ปัญหาเรื่อง     นรกสวรรค์   ผีสาง  เทวดา มีจริงหรือไม่ ถ้ามี มีอยู่อย่างไร? เป็นปัญหาที่น่าสนใจของคนทั่วไปในโลก      ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก       เป็นปัญหาที่ขบคิดกันมานานตั้งแต่โบราณจนกระทั่งปัจจุบันผู้สอนศีลธรรมในโรงเรียน ไม่ว่าในระดับไหน มักจะได้รับคำถามเรื่อง เทวดา นรก สวรรค์ อยู่เสมอ รวมทั้งพระสงฆ์และอนุศาสนาจารย์ ก็ได้รับคำถามเช่นนี้ด้วยใฐานะที่เรานับถือพระพุทธศาสนา   จึงควรศึกษาให้เข้าใจเรื่องเหล่านี้ให้ถ่องแท้ เพราะเป็นปัญหาที่มีความสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาอย่างแยกไม่ออก  ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชาวพุทธที่ต้องค้นคว้าศึกษาให้ทราบว่า พระพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงสิ่งเหล่านี้ไว้อย่างไรบ้าง ถ้าตรัสไว้ ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อะไรบ้าง ใจความว่าอย่างไร    เพื่อเราจะรับสิ่งเหล่านี้อย่างมีหลักฐาน ไม่ใช่พูดขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานอ้างอิง
     เรื่องนรกสวรรค์ มีความสัมพันธ์กันอย่างแยก   ไม่ออกกับเรื่องกรรมและเรื่องหลักสังสารวัฏตามหลักพระพุทธศาสนา ในพระไตรปิฏกได้กล่าวในเรื่องนรก-สวรรค์ว่ามีอยู่จริงในจักรวาลนี้เอง  ซึ่งสวรรค์ก็คือ  เทวภูมิ เป็นที่อาศัยของเทวดามี ๖ ชั้น อยู่เหนือยอดเขาสิเนรุ ณ ใจกลางของจักรวาล ส่วนนรก หรือนริยภูมิ เป็นที่อาศัยของสัตว์นรก มี ๘๐ ขุม อยู่ใต้เขาสิเนรุ เป็นที่มีความร้อนสูงมาก 
พระพุทธศาสนายืนยันว่าคนเราตายแล้วเกิดจริง
     พระพุทธศาสนายืนยันว่า    การเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่จริงซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาจำนวนมาก เช่นในคัมภีร์ชาดกเปตวัตถุ วิมานวัตถุ และพระสูตรต่าง ๆ ดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในบาปวรรคแห่งคัมภีร์ธรรมบทว่า
  “คพฺภเมเก  อุปปชฺชนฺติ  นิรย ™ ปาปกมฺมิโน
  สคฺค™ สุคติโน ยนฺติ   ปรินิพฺพนฺติ  อนาสวา.”
  แปลว่า “คนบางพวกเกิดในครรภ์ คนบางพวกที่ทำกรรมชั่วไว้ไปนรก คนบางพวกที่ทำกรรมดีไว้ไปสู่สวรรค์ส่วนท่านที่หมดกิเลสแล้วทั้งหลายย่อมนิพพาน”
  นี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น     ในบรรดาพุทธภาษิตเป็นจำนวนมากที่ยืนยันการเวียนว่ายตายเกิด พระบาลีข้างต้น นี้คือพระดำรัสยืนยันการเวียนว่ายตายเกิด พระบาลีข้างต้นนี้คือพระดำรัสยืนยันของพระพุทธเจ้าจากพระบาลีนี้     จะเห็นได้ว่า คนเราตายแล้วเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ผู้ที่ตายแล้วไม่เกิดอีกนั้น คือ พระอรหันต์. ทำไม  พระอรหันต์สจึงไม่เกิดอีกทั้งนี้ก็เพราะท่านหมดกิเลสอันเป็นหมือนยางเหนียวในพืชแล้ว คือ ถ้าเป็นพืชก็ปลูกไม่ขึ้นเพราะหมดยางเหนียวแล้ว จิตของพระอรหันต์หมดกิเลสแล้ว     จึงไม่เกิดอีก แต่สำหรับเราทั้งหลาย เมื่อตายแล้ว แม้เราไม่อยากเกิดก็ต้องเกิดอีก เพราะเรายังมีกิเลสอันเป็นเหมือนยางเหนียวในพืชอยู่

กำเนิด ๔   ๑ สัตว์โลกที่ไปเกิดอยู่ในภูมิทั้ง ๓๑ ภูมินั้น  ย่อมเกิดในกำเนิดทั้ง ๔ คือ
   ๑. คำว่า  “สัตว์  หรือ   สัตว์โลก”     แปลว่า “ผู้ที่ยังข้องอยู่” คือยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ฉะนั้น จึงหมายรวมถึงมนุษย์   เทวดา   พรหม   ในทุกภพภูมิ   และสัตว์ในอบายภูมิทั้ง ๔ มิได้หมายเฉพาะถึงสัตว์ดิรัจฉานประเภทเดียว
  ๑. ชลาพุชะ       เกิดในครรภ์
  ๒. อัณฑชะ      เกิดในไข่
  ๓. สังเสทชะ    เกิดในเถ้าไคล
  ๔. โอปปาติกะ  เกิดผุดขึ้น
       (ม.มู. ๑๒/๑๖๙/๑๔๗)
     ชลาพุชะกำเนิด      ได้แก่สัตว์ที่เกิดในมดลูก     คือ   มนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานที่คลอดออกมาเป็นตัวและเลี้ยงลูกด้วยนม เช่น โค กระบือ แมว เป็นต้น
     อัณฑชะกำเนิด  ได้แก่สัตว์ดิรัจฉานที่ออกมาเป็นไข่ก่อนแล้วจึงฟักออกมาเป็นตัว  เช่น  เป็ด  ไก่  นก  ปลา  เป็นต้น
     ชลาพุชะกำเนิดและอัณฑชะกำเนิดนี้ รวมเรียกว่า คัพภเสยยกะ กำเนิด  เพราะเกิดอยู่ในครรภ์ของมารดาก่อนภายหลังจึงออกจากครรภ์
     สังเสทชะกำเนิด  ได้แก่สัตว์ทั้งหลายที่เกิดโดย  ไม่อาศัยท้องพ่อแม่    แต่อาศัยเกิดจากที่ชื้นแฉะ ซากพืชและซากสัตว์
    โอปปาติกะกำเนิด ได้แก่สัตว์โลกที่เกิดมา   โดยไม่ได้อาศัยพ่อแม่ แต่อาศัยอดีตกรรมอย่างเดียวและเมื่อเกิดก็เติบโตขึ้นทันที   เช่น   พวกสัตว์นรก เปรต เทวดา พรหม มนุษย์ในสมัยต้นกัป ๑ เป็นต้น

    ๑. ตามหลักพระพุทธศาสนาถือว่า มนุษย์ที่มีขึ้นในยุคแรกในโลกนี้ เรียกว่า   “มนุษย์ในสมัยต้นกัป” และมนุษย์ในยุคแรกนี้จุติมาจากพรหมโลกชั้นอาภัสสรา ซึ่งได้สำเร็จทางใจ มีปิติเป็นอาหาร มีรัศมีในตัวเอง สัญจรไปมาในอากาศ เมื่อมาอาศัยโลกนี้นานเข้า ร่างกายก้วิวัฒนาการขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นมนุษย์หญิงชายสืบสายเชื้อสายกันมาจนถึงปัจจุบัน
      อัคคัญญสูตร  ที. ปา. ๑๑/๕๖/๙๒-๙๓
องค์ประกอบในการเกิดมนุษย์ 

  ใน มหาตัณหาสังขยสูตร    พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการที่มนุษย์ได้ก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์มารดาว่า ต้องมีองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ
  ๑. มาตา อุตุนี โหติ มารดามีระดู
  ๒. มาตาปีตโร สนฺนิปติตา   โหนฺติ  มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน
  ๓. คนฺธพฺโพ ปจฺจุปฎฺฐิโต  โหติ มีสัตว์มาเกิด
        (ม.มู ๑๒/๔๕๒/๔๘๗)

      เมื่อมีองค์ประกอบ  ๓  อย่างนี้ครบถ้วนแล้ว       การตั้งครรภ์ก็ย่อมมีขึ้นได้ แต่ถ้าไม่พร้อมทั้ง ๓ อย่างนี้แล้ว การตั้งครรภ์ก็มีไม่ได้
      คำว่า “มารดามีระดู” นั้น    หมายถึงมารดามีไข่   และ  ในขณะเดียวกันบิดาก็มีสเปอร์ม ทั้งไข่และสเปอร์มนี้ เป็นส่วนของรูป ซึ่งเป็นกรรมพันธุ์ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่
     ส่วนข้อที่ว่า “มีสัตว์มากเกิด” นั้น    หมายถึงมีจุติจิต  หรือ จุติวิญญาณ  เคลื่อนมาปฏิสนธิ จึงเกิดเป็นปฏิสนธิวิญญาณนี้เองเป็นจิตดวงแรกที่เกิดในชาติใหม่        และจัดเป็นส่วนนามที่สืบต่อมาจากภพชาติก่อน ๆ โดยนำเอาบุญ บาป กรรม กิเลสติดมาด้วย
    ฉะนั้น เมื่อลก่าวโดยย่อแล้ว ผู้ที่เกิดมาก็มีแต่ นามกับรูป ๒ อย่างนี้เท่านั้น
ลำดับแห่งการพัฒนาการของทารกในครรภ์
  ในอินทกสูตร     ยักขสังยุต พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการก่อกำเนิดมนุษย์ที่เจริญเติบโตอยู่ในครรภ์มารดาไว้อย่างน่าสนใจยิ่งกว่า
  ปฐม™ กลล™ โหติ  กลลา โหติ อพฺพุท™
  อพฺพุทา ชายเต เปสิ  เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน
  ฆนา  ปสาขา ชายนติ เกสา โลมา นขาปี จ
  ยญฺจสฺส ภุญฺชติ มาตา อนฺน™ ปานญฺจ โภชน™
  เตน โส ตตฺถ ยาเปติ  มาตุกุจฺฉิคคฺโต นโรฺ


แปลความว่า
  “รูปนี้เป็นกลละก่อน     จากกลละเกิดเป็นอัมพุทะจากอัมพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม    (ปัญจสาขา)    ต่อจากนั้นก็มีผม ขน และเล็บ (เป็นต้น) เกิดขึ้น     มารดาของทารกในครรภ์นั้นบริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอันใดทารกที่อยู่ในครรภ์นั้น ย่อมมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารนั้น ในครรภ์มารดานั้น”
        (ส™.ส. ๑๕/๘๐๓/๓๐๓)
    กลละนี้เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของร่างกายที่ก่อกำเนิดขึ้นมา อันเป็นกรรมพันธุ์ที่มาจากพ่อแม่โดยตรง ในอรรถกถาพระวินัย  ๑ ท่านกล่าวถึงรูปลักษณะของกลละไว้ว่า “กลลรูปของหญิงชายมีขนาดเท่าหยาดน้ำมันงาที่ยกขึ้นมาด้วยปลายขนทรายข้างหนึ่ง (ติดปลายขนทรายขึ้นมา) ใสแจ๋ว” ฉะนั้น กลละก็คือ Germ Cell ตามหลักชีววิทยานั่นเอง
  ในอรรถกถาสารัตถัปปกาสินี        ท่านอธิบายถึงการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มารดาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรข้างต้นนั้น   โดยท่านกล่าวขยายความคาถาจากพระสูตรข้างต้นนั้นไว้ว่า
  “ในสัปดาห์แรกแห่งการปฏิสนธินั้น       เกิดเป็นกลลรูป    คือเป็นหยาดน้ำใสเหมือนน้ำมันงา ในสัปดาห์ที่ ๒ หลักจากกลละรูป ได้เกิดเป็นอัพพุทรูปขึ้น มีลักษณะเป็นฟอง สีเหมือนน้ำล้างเนื้อ ในสัปดาห์ที่ ๓ หลักจากอัพพุทรูป ก็ได้เกิดเป็นเปสิรูป ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนมีสัณฐานเหมือนไข่ไก่ ในสัปดาห์ที่ ๕ หลักจากฆนรูป    จึงได้เกิดปัญจสาขา คือ รูปนั้นงอกออกเป็น ๕ ปุ่ม คือ เป็นศีรษะ ๑, มือ ๒, เท้า ๒ ต่อจากนั้น คือ   ในระหว่างสัปดาห์ที่ ๑๒ ถึงสัปดาห์ที่ ๔๒ ผม ขน เล็บ ก็ปรากฏขึ้น”
     (สารัตถัปปกาสินี ภาค ๑ หน้า ๓๕๑-๓๕๒)
  การที่พระพุทธเจ้าทรงทราบ ถึงการพัฒนาการของทารกที่อยู่ในครรภ์    อย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่เป็น Germ Cell เป็นต่นมา จนถึงเป็นตัวทารกอย่างสมบูรณ์       นี้ก่อให้เกิดความทึ่งและความประหลาดใจให้แก่วงการแพทย์ในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง   เพราะเมื่อสมัยเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้น ไม่มีเครื่องมือทันสมัย เช่น กล้องจุลทรรสน์ หรือ เอ็กซเรย์อันใดเลย แต่พระพุทธองค์ก็ทรงหยั่งทราบได้ชัดเจน เหมือนกับมีเครื่องมือเหล่านี้     และยังทรงรู้ซึ้งไปกว่านี้อีกมาก ข้อนี้เกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์โดยแท้อันไม่ใช่วิสัยที่ใครอื่นจะพึงรู้ได้ด้วยตนเอง
อบาย ๔
  พระพุทธศาสนายืนยันว่า      อบายนั้นมีอยู่จริง   และคนที่ทำชั่วย่อมไปเกิดในอบายจริง ดังที่พุทธเจ้าตรัส       ไว้ในอิติวุตตกะ ติกนิบาต     แห่งคัมภีร์ขุททกนิกายว่า
         ตโยเม  ภิกฺขเว อคฺคี, กตเมตโย, ราคคฺคิ โทสคฺคิ. อิเมโข ภิกฺขเว ตโย อคฺคีติ.
  ราคคฺคิ ทหติ มจฺเจ   รตฺเต กาเมสุ มุจฉิเต
  โทสคฺคิ ปน พฺยาปนฺเน  นเร ปาณาติปาติโน
  โมหคฺคิ ปน สมฺมุฬฺเห  อริยธมฺเม อโกวิเท.
  เอเต อคฺคี อชานนฺตา   สกฺกายาภิรตา ปชา
  เต วฑฺฒยนฺติ นิรย™   ติรจฺฉานญฺจ โยนิโย
  อสุร ปิตฺติวิสยญฺจ   อมุตฺ  ตา  มารพนฺธนา

  ความว่า     “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กองนี้คือไฟคือราคะ๑ ไฟคือโทสะ๑
ไฟคือโมหะ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กองนี้แล (ย่อมเผาผลาญสัตว์ทั้งหลาย).
  ไฟคือราคะ     ย่อมเผาเผลาญทั้งหลาย   ผู้กำหนัดแล้ว ผู้หมกมุ่นอยู่แล้วในกามทั้งหลาย แต่ไฟคือโทสะ   ย่อมเผาผลาญนรชนทั้งหลาย   ผู้พยาบาท   ซึ่งชอบฆ่าสัตว์ ส่วนไฟคือโมหะ ย่อมเผาผลาญนรชนทั้งหลาย       ผู้หลงงมงาย ซึ่งไม่ฉลาดในอริยธรรม.     ไฟทั้ง ๓ กองนี้ ย่อมเผาผลาญหมู่สัตว์ผู้ไม่รู้สึกว่าเป็นไฟ       ผู้ยินดียิ่งในกายของตน สัตว์เหล่านั้นพอกพูนนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย          และปิตติวิสัยอยู่ (ทำให้ผู้ที่เกิดในอบายทั้งสี่ให้มีปริมาณมากขึ้น จึงไม่พ้นจากบ่วงแห่งมาร (กิเลส) ไปได้”
        (อิติ.ขุ.๒๕/๒๗๓/๓๐๑)

พระพุทธศาสนายืนยันว่าโลกหน้ามีจริง
  ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องบุญ บาป เรื่องนรก สวรรค์ และไม่เชื่อเรื่อง โอปปาติกะกำเนิด เป็นต้น พระพุทธเจ้า ทรงถือว่าเป็นคนมิจฉาทิฏฐิ           ดังข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน
อปัณณกสูตร คัมภีร์มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ว่า
  “สนฺต คหปติโย   เอเต   สมณพฺราหฺมณา    เอว™ วาทิโน เอว™ ทิฏฐิโน. (๑) นตฺถิ ทินฺน™ (๒) นตฺถิ ยิฏฺฐ™ (๓) นตฺถ หุต™   (๔) นตฺถิ สุกฏทุกฺกฏาน™ กมฺมาน™ ผล™ วิปาโก (๕) นตฺถิ อย™ โลโก (๖) นตฺถิ ปโร โลโก      (๗) นตฺถิ มาตา (๘) นตฺถิ ปิตา (๙) นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา (๑๐) นตฺถิ โลเก สมณพฺราหมฺณา  สมฺมคฺคตา สมฺมา    ปฏิปนฺนา เย  อิมญฺจ  โลก™  ปรญฺจ  โลก™    สย™ อภิญญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีตี”
  ความว่า “ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณณ์บางพวกซึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า (๑) การให้ทานไม่มีผล (๒) การบูชาไม่มีผล (๓) การเคารพบูชาไม่มีผล (๔) ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี (๕) โลกนี้ไม่มี   (คือสัตว์จากโลกอื่นที่จะมาเกิดในโลกอื่นไม่มี (๖) โลกอื่นไม่มี (คือสัตว์จากโลกนี้ที่จะไปเกิดในโลกอื่นไม่มี
(๗) คุณมารดาไม่มี (๘) คุณบิดาไม่มี    (๙) สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี (๑๐) สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติชอบ ทราบชัดถึงโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาได้เอง    และสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ได้ด้วยไม่มี (รวมเป็นมิฉาทิฏฐิ ๑๐ ประการ)”
  พระพุทธองค์ตรัสต่อไปอีกว่า
  “สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะอย่างนี้     มีความเห็นอย่างนี้ จะต้องเบื่อหน่ายในการประพฤติกุศลธรรม ๓ ประการ คือ กายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต (แต่) กลับไปยึดมั่นในการประพฤติอกุศลธรรม ๓ ประการ คือ กายทุกจริต  วจีทุจริต และมโนทุจริต เพราะเหตุที่ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่เห็นโทษของอกุศลธรรมและ  ไม่เห็นอานิสงฆ์ของกุศลธรรมปรโลก (โลกหน้า) มีอยู่แท้ ๆ (สนฺตเยว โข ปน ปร โลก)     เขากลับเห็นว่าไม่มี ความเห็นของเขาจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ปรโลกมีอยู่แท้ ๆ        แต่เขากลับคิดว่าไม่มีความคิดของเขาจึงเป็นมิจฉาสังกัปปะ ปรโลกมีอยู่แท้ ๆ แต่เขา กลับพูดว่าไม่มี    คำพูดของเขาจึงเป็นมิจฉาวาจา ปรโลกมีอยู่แท้ ๆ เขากล่าวว่าไม่มี คนเช่นนี้ชื่อว่าคัดค้านต่อพระอรหันต์ทั้งหลาย         ผู้กล่าวยืนยันว่าปรโลกมีอยู่…”
       (มม. ๑๓/๑๐๕-๑๐๖/๑๐๑-๑๐๒)

ภพภูมิที่สัตว์โลกไปเกิด
  ก่อนที่จะตอบว่า ตายแล้วไปไหน     จะขอพูดเรื่องนรกสวรรค์ว่ามันอยู่ที่ไหน เพราะเมื่อตายแล้ว บางคนไปตกนรก     บางคนไปเกิดในสวรรค์ เรื่องนรกสวรรค์อยู่ที่ไหนนี้ เป็นปัญหาทางปรัชญาที่ขบคิดกันมานานตั้งแต่โบราณ      จนถึงปัจจุบันเช่นกัน แต่ทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ยุติแล้ว       ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เขาเรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ยุติแล้ว ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เขาเรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้ว วางลงไปอย่างแน่นอนแล้วว่าคนเมื่อตายแล้วถ้ามีกิเลสก็ต้องเกิดอีก     ถ้าไม่มีกิเลสก็ไม่เกิดอีกสำหรับผู้ที่หมดกิเลสนั้น หมดปัญหาไปแล้ว ส่วนผู้ที่ยังมีกิเลส ที่ตายแล้วต้องไปเกิดอีกนั้น จะไปเกิดที่ไหน ข้อนี้เป็นประเด็นหนึ่งที่จะต้องชี้แจงให้เข้าใจ
  ตามหลักพระพพุทธศาสนานั้ย ภพภูมิที่สัตว์โลกไปเกิด มี ๓๑ ภูมิ คือ
  ๑) สวรรค์ชั้นกามาพจร ๖ ชั้น     เป็นสวรรค์ที่มี   เพศหญิง   เพศชาย    ยังเสวยกามคุณอยู่ อันได้แก่ ชั้นจาตุมหาราช, ชั้นดาวดึงส์   ชั้นยามา, ชั้นดุสิต, ชั้นนิมมานรดี  และชั้นปรนิมมิตวสวัดี
  ๒) ชั้นรูปพรหม (พรหมที่มีรูป) ๑๖ ชั้น
  ๓) ชั้นอรูปพรหม (พรหมไม่มีรูป) ๔ ชั้น
  ๔) อบายภูมิ ๔ คือ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน, ภูมิของเปรต อสุรกาย(ผี) และนรก
  ๕) มนุษย์โลก โลกมนุษย์
  ในอบายภูมิทั้ง ๔ นั้น สัตว์ดิรัจฉาน เปรต และอสุรกายเกิดอยู่ในมนุษย์โลกนี้เอง ส่วนนรกและสวรรค์อยู่ที่ไหน เรื่องนี้เป็นปัญหาที่จะต้องทำความเข้าใจให้ชัด

สวรรค์และนรกอยู่ที่ไหน
  ตามหลักพระพุทธศาสนานั้นยืนยันว่า     นรกสวรรค์นั้นทีแน่แต่จะอยู่ที่ใดนั้น ข้อนี้เป็นเรื่องที่นักปราชญ์ทั้งหลายอธิบายกันในหลายแง่มุม แต่ในที่นี้จะชี้ให้เห็นตามที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยเราเชื่อถือกันมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน คือนรกสวรรค์มีอยู่ ๓ ประเภท คือ
  ๑. สวรรค์ในอกนรกในใจ
  ๒. สวรรค์และนรกในโลกมนุษย์
  ๓. สวรรค์และนรกในโลกอื่น
  ๑. สวรรค์ในอกนรกในใจ คำว่า “สวรรค์”    หมายถึง ที่บันเทิง ที่ริ่นเริง มีความสุข ส่วน “นรก”      หมายถึงที่ตกต่ำที่เสื่อมที่ไร้ความเจริญ   มีแต่ความทุกข์   ความเดือดร้อน ฉะนั้น เมื่อใดก็ตาม         ที่เรามีความสุข มีความเบิกบานใน มีความสงบ มีความเยือกเย็นนั้นแหละคือสวรรค์ แต่เมื่อใดเราวุ่นวายจัด    โกรธจัดหรือเดือดร้อนเพราะอำนาจของกิเลส เมื่อนั้นแหละไฟนรกคือกิเลส ก็เข้าไปจี้ใจเราให้เร่าร้อนกระวนกระวาย    เพราะฉะนั้นบางคนตกนรกทั้งวัน เพราะจิตใจวุ่นวายเดือดร้อนตลอดเวลาเช่นบางคนโกรธจัด   ก็ถูกไฟนรกคือความโกรธเผาไหม้ จนหน้าตาเหี่ยวแห้ง บางคนถึงกับเป็นโรคลำไส้  บางคนนอนไม่หลับเพราะไฟนรกเผาไหม้มาก บางคนเผาไหม้ตัวเองไม่พอ กลับไปเผาไหม้ผู้อื่นอีก    แต่บางคนตกนรกไม่นาน คือโกรธคนอื่นไม่นานประเดี๋ยวก็หาย เพราะระงับหรือข่มไว้ได้   แต่บางคนใจดีมีเมตตาเข้ามาแทนที่ จึงทำให้พ้นจากนรกขึ้นสวรรค์ บางคนขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เป็นเวลานาน     เป็นวันก็มี เช่นคนที่มีจิตใจสงบเบิกบานด้วยอำนาจจากประพฤติธรรม ดังนั้น ถ้าใครมีโลภ โกรธ หลง มากจนเร่าร้อนกระวนกระวาย นั้นแหละมีนรกในใจแล้ว ถ้าใครมีเมตตากรุณา    มีจิตใจสงบเยือกเย็น นั้นแหละคือสวรรค์ ในวันหนึ่ง ๆ เราอาจตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ วันละหลาย ๆ ครั้งคนขึ้นสวรรค์เราก็เห็นได้แล้ว คนตกนรกเราก็เห็นได้แล้ว
  ๒. สวรรค์และนรกในโลกมนุษย์     คนที่ขึ้นสวรรค์หรือตกนรกก็ย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนทำไว้ กรรมนี้เองเป็นตัวบันดาลให้เราไปเกิดในสวรรค์หรือนรก และในโลกนี้ก็มีสวรรค์และนรกซ้อนกันอยู่ คือใครก็ตาม ถ้าเกิดมายากจนข้นแค้น   เดือดร้อน เช่น บางคนตาบอด บางคนหูหนวก บางคนอวัยวะพิการ หรือเกิดในแหล่งสลัม       ในที่มีความทุกข์เดือดร้อน นั้นคือนรกของเขา เมื่อเกิดแล้วบางคนก็ไปติดคุกก็มีแดนต่าง ๆ     เช่นแดนของนักโทษประหารแดนขังเดี่ยว แดนขังมืด นั้นคือนรกเป็นแดน ๆ บางคนตายอย่างทรมาน มีความทุกข์แสนสาหัส สภาพอย่างนี้คือนรกในโลกปัจจุบันเราเห็นกันอยู่ในโลกเรานี้
  ส่วนสวรรค์ในโลกมนุษย์นั้นคือที่เช่นไร   คือบางคนเกิดมามีแต่ความสุข เช่นเกิดมาเป็นลูกเศรษฐี เป็นใหญ่เป็นโต หรือ เป็นพระมหากษัตริย์   หรือเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย ร่างกายสวยงาม เครื่องบำรุงความสุข เช่นเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องใช้ก็มีมาก   สติปัญญาก็เฉียบแหลม น้ำเสียงก็ไพเราะน่าฟัง แวดล้อม ไปด้วยญาติพี่น้องและบริวาร   บ้านก็เหมือนกับวัง หรือเป็นปราสาทราชวังทีเดียว สภาพเช่นนี้คือสวรรค์ ผู้ที่เกิดมา     เช่นนี้คือชาวสวรรค์ในโลกมนุษย์ ส่วนใจของเขาจะขึ้นสวรรค์หรือไม่ก็แล้วแต่ใจของเขา แต่เขาได้เกิดอยู่ในสวรรค์แล้ว และการที่เขาเกิดมาได้รับสิ่งเหล่านี้ก็เพราะบุญที่เขาทำไว้นั่นเอง
  ท่านตอบว่า “ มองไม่ค่อยเห็นจะเห็นแต่เพียงราง ๆ “ ข้าพเจ้าเรียนถามท่านว่า “ท่านพอจะนึกออกไหมว่า มันมีกรรมเก่าอะไรบ้างในชาตินี้ที่ทำให้ท่านต้องเป็นเช่นนี้”
  ท่านตอบว่า “ผมนึกได้”
  ข้าพเจ้าถามว่า “ท่านทำอะไรผิด”
  ท่านตอบว่า “ตอนผมเป็นเด็ก ๆ ผมจับตั๊กแตนได้    แล้วบีบตามันให้บุ๋มเข้าไปข้างในเบ้าตาของมัน แล้วก็ปล่อยให้มันบินไป มันก็บินไปชนอะไรต่ออะไร      ทำความสนุกชอบใจให้แก่ผมมาก และผมได้บีบตาตั๊กแตนไปมากต่อมาก ส่วนแมลงปอนั้น  ผมจะเด็ดหางมันออก แล้วใส่หญ้าเข้าไปในปลายหางของมัน แล้วปล่อยให้มันบินไปมองดูสนุก    นี่แหละกรรมที่ผมทำไว้”
  แล้วท่านพูดต่อไปว่า “ก่อนที่ผมจะมาบวช ผมถูก     ไม้ทิ่มตาข้างหนึ่งทำให้ตาข้างนั้นแตก เหลืออีกข้างที่ใช้การได้ก็มาเกิดเป็นต้อขึ้นมาอีก”
  อย่างนี้แหละที่เขาเรียกว่ากรรมทันตาเห็น      กรรมนี้มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว เป็นทั้งกรรมในอดีตและปัจจุบันที่เราทำไว้สลับซับซ้อนกันอยู่ ทำให้เราได้ผลของกรรมเหล่านั้น บางคนผ่าตัดแล้วผ่าตัดอีกหลายครั้งหลายหน บางคนถึงกับพิการ     และบางคนถึงตายไปเลยก็มี คนป่วยบางคนเจ็บปวดมากและร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร ทั้งนี้เนื่องจากกรรมชั่วที่ตนทำไว้ ที่ชี้แจงมาให้เห็นนี้คือสวรรค์ในโลกมนุษย์
  ๓. สวรรค์และนรกในโลกอื่น  ทางพระพุทธศาสนาถือว่า โลกนั้นไม่ใช่จะมีแต่เพียงโลกนี้เท่านั้น  แต่ยังมีโลกอื่น ๆ อีกมาก คือยังมีดาวในกาแล็กซี่   (Galaxy)           หรือในจักรวาลอื่น ๆ อีกมากมายเหลือจะคณานับ เช่นดังกล่าวไว้ในพระบาลี    ในตอนท้ายของธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า
  “ทสสหสฺสี โลกธาตุ สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ
  แปลว่า        “(เมื่อพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงพระธรรมจักรจบลง) หมื่นโลกธาตุสะท้านสะเทือน หวั่นไหว”
  หลักทางพระพุทธศาสนาแสดงว่า     ยังมีดวงดาวในจักรวาลอื่น ๆ อีกมาก นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเพิ่มจะเห็น และก็ยังมีอีกมากที่นักวิทยาศาสตร์   ยังค้นไปไม่ถึง แล้วเราจะยึดมั่นว่า        “ดาวดวงนี้เท่านั้นมีมนุษย์หรือสัตว์โลกอยู่  ดาวดวงอื่น ๆ  ไม่มีสัตว์โลก” เพราะยังไม่มีการพิสูจน์ว่ามีหรือ    ไม่มี จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดอย่างนั้น เพราะในดาวอื่น ๆ ถ้ามันมีอุณหภูมิหรือสิ่งต่าง ๆ เหมาะสมแล้ว ก็ต้องมีสัตว์โลกที่เกิดอยู่บนโลกหรือบนดวงดาวเหล่านั้น
  อาจารย์เสถียร   โพธินันทะ             อดีตอาจารย์ในสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้มีความชำนาญมากทางพระพุทธศาสนาผู้หนึ่ง    และเป็นอาจารย์ของผู้เขียน ได้กล่าวไว้ว่า”การหมุนรอบตัวเองของดวงดาวแต่ละดวงมีความเร็วไม่เหมือนกันถ้าหมุนช้าก็ทำให้วันคืนของดวงดาวนั้นช้า ถ้าหมุนเร็วก็ทำให้วันคืนของดวงดาวนั้นเร็วไปด้วย อย่างดาวพฤหัสหมุนรอบตัวเอง ๑ รอบ ใช้เวลาถึง ๑ ปี      ถ้าสัตว์โลกอยู่บนดาวดวงนั้นก็เท่ากับ ๑ วันของดาวพฤหัสเท่านั้นเอง ดาวบางดวงอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์จึงร้อนแรงมาก ถ้าสัตว์โลกที่เกิดอยู่บนดาวดวงนั้นก็เท่ากับเกิดอยู่ในอเวจีมหานรก หรืดาวบางดวงอยู่ไกลดวงอาทิตย์มาก อากาศก็หนาวมาก สัตว์โลกที่เกิดในที่นั้นก็เหมือนเกิดในโลกันตริยนรก     แล้วทำไมสัตว์นรกเหล่านั้นจึงไม่ตาย ทนอยู่ได้อย่างไร, ข้อนี้ก็เช่นเดียวกับหนอนเกิดในพริก มันไม่ตาย         ก็เพราะกรรมเลี้ยงเอาไว้ให้มีชีวิตอยู่ได้ เป็นธรรมชาติของมันเอง”

ปายาสิราชัญญสูตร
  เพื่อจะอธิบายเรื่องตายแล้วเกิดใหม่          และเรื่องนรกสวรรค์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จะได้นำเอาข้อความในปายาสิราชัญญสูตร อันเป็นการ     โต้ตอบปัญหาเรื่องนรกสวรรค์และวิญญาณกัน ระหว่าง พระกุมารกัสสปเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่มีความสามารถมากองค์หนึ่งในครั้งพุทธกาล กับ       พระเจ้าปายาสิ    ซึ่งเป็นเจ้า ครองนครที่ไม่ยอมเชื่อเรื่องบาปบุญนรกสวรรค์ พระสูตรนี้ปรากฏอยู่คัมภีร์ ทีฆนิกาย มหาวรรค ใจความของพระสูตรนี้มีว่า
  ในสมัยหลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้านิพพานไปแล้ว      ไม่นาน เจ้าครองนครองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้าปายาสิ เป็นผู้ครองเสตัพยนคร   เจ้าครองนครผู้นี้มีความเชื่อมั่นว่า ตายแล้วสูญผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี พระองค์ได้เคยเสด็จ  ไปโต้ตอบปัญหาเรื่องนี้กับสมณพราหมณ์ต่าง ๆ มากมากต่อมากแล้ว      จนทำให้สมณพราหมณ์ทั้งหลายในสมัยนั้น เกิดครั่นคร้ามไม่อยากจะโต้ตอบด้วย    เพราะพระองค์ทรงจัดเจนในการโต้คารมเป็นอย่างยิ่ง วัหนึ่ง พระกุมารกัสสปเถระ    พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมากได้จาริกไปในแคว้นโกศล และได้แวะพักสั่งสอนประชาชนอยู่ ณ ป่าไม้สีเสียด อันตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเสตัพยนคร มีประชาชนพากันไปฟังธรรมเป็นจำนวนมาก    พระเจ้าปายาสิเมื่อทรงทราบเข้า เช่นนั้น จึงได้เสด็จไปโต้คารมในหัวข้อที่ว่า ตายแล้วเกิดหรือไม่ 
  เมื่อพระกุมารกัสสปเถระให้โอกาสแล้ว พระเจ้าปายาสิ จึงได้ตรัวแสดงความเห็นของพระองค์ประเด็นแรกขึ้นว่า
  “มีแต่โลกนี้เท่านั้น โลกหน้าไม่มี โลกอื่นไม่มี”
  พระเถระถามว่า       “ก็ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวดวงอื่น ๆ ที่เห็นอยู่ เป็นโลกนี้ หรือเป็นโลกอื่นเล่า”
  พระเจ้าปายาสิตรัสตอบว่า “เป็นโลกอื่น”
  แล้วพระเถระจึงได้ตอบว่า    “เมื่อเห็นอยู่เช่นนี้ ไฉนจึงตรัสว่าโลกอื่นไม่มีเล่า”
  พระเจ้าปายาสิยังไม่ทรงเชื่อ        แล้วตรัสต่อไปว่า “ข้อนั้นจงยกไว้ก่อน, แต่มีปัญหาอยู่ว่า ถ้าโลกหน้ามีจริง ไฉนญาติมิตรของข้าพเจ้าทำกรรมชั่วเอาไว้ เมื่อเขาจวนจะตาย ข้าพเจ้าได้สั่งพวกเขาว่า ถ้าพวกท่านไปตกนรกแล้ว จงรีบกลับมาส่งข่าวให้ข้ารู้ด้วยว่า นรกมีจริงนะ แต่ข้าพเจ้าก็คอยปีแล้วปีเล่า     ไม่เห็นมีผู้ใดมาส่งข่าวเลย นี้ก็แสดงว่านรกไม่มีอยู่จริง คนเราตายแล้วก็สูญเท่านั้น”
  พระเถระยกอุปมาเปรียบเทียบแถลงให้ทรงฟังว่า   “เปรียบเหมือนโจรที่ทำผิดถูกตำรวจจับได้ แล้วนำตระเวนไปสู่ที่ประหารชีวิต โจรนั้นจะขอร้องผ่อนผันต่อเจ้าหน้าที่ขอให้ผล่อยเขาไปบกพวกพ้องเสียก่อนจะได้หรือไม่”
  ตรัสตอบว่า “ไม่ได้”
  พระเถระก็กล่าวว่า “อุปมานี้ฉันใด สัตว์?    ที่ตกนรกแล้วก็เหมือนกันถูกความทุกข์ในนรกแผดเผาอยู่ และย่อมไม่ได้รับอนุญาตจากนายนิรยบาล   ให้กลับมาเล่าให้พระองค์ทรงทราบได้เลย”
  พระเจ้าปายาสิยังไม่ทรงเชื่อ ตรัสต่อไปว่า       “มีปัญหาอยู่ว่าสมณพราหมณ์ที่ประพฤติสุจริต บำเพ็ญความดี เมื่อท่านเหล่านั้นจวนจะตายข้าพเจ้าได้สั่งไว้ว่า   ถ้าท่านไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์แล้ว จงกลับมาบอกแก่ข้าพเจ้าด้วยว่า สวรรค์มีจริง    แต่ก็คอยกันเป็นปี ๆ หามีใครมากบอกไม่ นี้ก็แสดงสวรรค์ไม่มีอยู่จริง คนเราตายแล้วก็สูญเท่านั้น”
  พระเถระยกอุปมาเปรียบเทียบให้ทรงทราบอีกว่า “เปรียบเหมือนบุรุษคนหนึ่งตกจมลงไปในหลุมอุจจาระจนมิดศีรษะ แล้วมีผู้ช่วยให้พ้นขึ้นมาได้     ให้อาบน้ำชำระกายให้สะอาดแล้วให้เสวยกามสุขอยู่บนปราสาท  อยากถามว่าบุรุษผู้นั้นยังจะพอใจตกลงไปในหลุมคูณนั้นหรือไม่”
  พระเจ้าปายาสิตรัสตอบว่า “ไม่มีใครต้องการทำเช่นนั้นอีก”
  พระเถระอธิบายต่อไปว่า     “พวกที่เกิดในสวรรค์ก็เหมือนกันย่อมเพลิดเพลินด้วยความสุขในสวรรค์ เสวยกามคุณทั้ง  ๕  อันเป็นทิพย์อยู่ โลกมนุษย์จึงปรากฏแก่เทวดาดุจหลุมคูณ ที่ไหนเขาจะกลับมาทูลให้พระองค์ทรงทราบได้     อนึ่งเล่า วันเวลาในสวรรค์ก็นานกว่าวันเวลาในโลกมนุษย์ เช่น ร้อยปีในโลกมนุษย์   เท่ากับวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พันปีทิพย์เป็นประมาณอายุของเทพชั้นดาวดึงส์ ท่านผู้ทำความดีเหล่านั้นไปเกิดในที่นั้นแล้ว คิดว่าอีก ๒-๓ วันจะมาทูลให้พระองค์ทรงทราบ จะมาทูลได้หรือไม่”
  พระเจ้าปายาสิตรัสว่า “ไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าก้คงตายไปเสียแล้ว”
  พระเจ้าปายาสิตรัสท้วงว่า  “ใครนะช่างรู้ว่าวันเวลาในสวรรค์กับมนุษย์ต่างกัน และสามารถรู้ว่า เทพชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนขนาดนั้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อเลย”
  พระเถระทูลว่า    “เปรียบเหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด มองอะไรไม่เห็นเลย จึงกล่าวว่า สีดำ สีขาว และสีเหลือง เป็นต้นไม่มี คนที่เห็นสีเช่นนั้นก็ไม่มี     ดวงดาว พระจันทร์ และ  พระอาทิตย์ไม่มี ผู้เห็นดวงดาว เป็นต้น นั้นก็ไม่มี เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น สิ่งนั้นจึงไม่มี ผู้นั้นจะชื่อว่ากล่าวชอบหรือไม่”
  ตรัสตอบว่า “กล่าวไม่ชอบ”
  พระเถระจึงทูลว่า   “พระองค์ปฏิเสธเรื่องนั้นเทพชั้นดาวดึงส์ก็เช่นกัน   เพราะสมณพราหมณ์       พวกที่อยู่ในป่าอันเงียบสงัดประมาท ทำความเพียรฝึกจิตของตนอยู่จนได้ทิพยจักษุสามารถมองเห็นโลกอื่น   และเห็นสัตว์จำพวกโอปปาติกะ  (คือสัตว์จำพวกที่เกิดผุดขึ้นเป็นตัวตนทีเดียว เช่น เทวดา และสัตว์นรกเป็นต้น)    ด้วยจักษุอันเป็นทิพย์ เหนือจักษุของมนุษย์ก็มีอยู่ เรื่องของโลกหน้าพึงเห็นได้ด้วยวิธีอย่างนี้ จึงไม่ควรเข้าใจว่าพึงเห็น    ได้ด้วยตาเนื้อนี้เลย”
  พระเจ้าปายาสิทรงแย้งว่า “ถ้าอย่างนั้น ทำไม พวกสมณพราหมณ์ผู้มีศีล         ผู้ประพฤติธรรมยังไม่อยากตาย อยากมีชีวิตอยู่ทั้ง ๆ         ที่รู้อยู่ว่าเมื่อตายไปแล้วก็จะบังเกิดในสวรรค์ มีความสุขดีกว่าอยู่ในชาตินี้ ซึ่งควรจะฆ่าตัวตายเสีย  แต่เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะดีกว่าชาตินี้ แต่กลับรักตัวกลัวตายกันทุกคน ไม่เห็นใครอยากตาย ข้อนี้เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าโลกหน้ามีจริง สัตว์จำพวกโอปปาติกะมีผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมี”
  พระเถระทูลเปรียบเทียบถวายว่า    “เปรียบเหมือนพราหมณ์คนหนึ่งมีภริยา ๒ คน คนหนึ่งมีบุตรชาย อายุ ๑๐ หรือ ๑๒ ปี   อีกคนหนึ่งมีครรภ์จวนคลอด พราหมณ์นั้นได้ถึงแก่กรรมลง มาณพผู้เป็นบุตรจึงพูดกับมารดาเลี้ยงว่า  “ทรัพย์สมบัติทั้งปวงตกเป็นของข้าพเจ้าหมด ของท่านไม่มีเลย”   นางพราหมณ์ผู้เป็นมารดาเลี้ยงก็ตอบว่า     “จงรอก่อนจนกว่าฉันจะคลอด ถ้าคลอดเป็นชายก็จะได้ส่วนแบ่งส่วนหนึ่ง     ถ้าเป็นหญิง แม้น้องหญิงนั้นก็จะตกเป็นสมบัติของเจ้า”    (วัฒนธรรมเกี่ยวกับการจัดมรดกของพวกพราหมณ์นั้น หญิงไม่มีสิทธิ์อะไรในทรัพย์ของบิดาเลย   สุดแต่ชายผู้เป็นพี่จะจัด เพราะตัวเองก็ตกอยู่ในฐานะที่พี่ชายจะใช้สอย หรือเอาเป็นภริยาได้ ถ้าเป็นน้องต่างมารดา) แต่มานพนั้นก็เซ้าซี้อยู่อย่างเดิม จนนางพราหมณ์นั้นถือเอามีดเข้าไปในห้อง  ผ่าท้องเพื่อจะดูว่าเด็กในท้องเป็นชายหรือหญิง จึงเป็นการทำลายชีวิตของตนเอง ทำลายเด็กในครรภ์        และทำลายทรัพย์สมบัติ เพราะเป็นผู้โง่เขลา แสวงหาทรัพย์สมบัติโดยไม่ใช้ปัญญาจึงถึงความพินาศ   แต่สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีธรรมอันดี ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น คือ ย่อมไม่ชิงสุกก่อนห่าม ย่อมรอจนกว่าจะสุก    สมณพราหมณ์เหล่านี้มีชีวิตอยู่นานเพียงใด ผู้อื่นก็ได้ประสบบุญมากเพียงนั้น และท่านก็ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เหมือนหญิงผู้ฉลาดรักษาครรภ์ของตนให้ครบ ๑๐ เดือนฉะนั้น”
  พระเจ้าปายาสิก็ยังไม่ทรงเชื่อ  แล้วพระองค์ก็ได้นำข้อมูลที่พระองค์ได้ทรงทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้มาค้านว่า “พระองค์เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ โดยให้ใส่ลงไปในหม้อทั้งเป็นปิดฝาแล้วเอาหนังสดรัดเอาดินเหนียวที่เปียกยาให้แน่น    แล้วเอาตั้งบนเตาไฟ เมื่อรู้ว่าตายแล้วก็ให้ยกหม้อลงมา กะเทาะดินที่ยาออก เปิดฝา ค่อย ๆ           มองดูเพื่อจะดูวิญญาณของโจรนั้นออกไปก็ไม่เห็นเลย จึงไม่เชื่อว่าวิญญาณมีจริง    ไม่เชื่อว่าคนเราตายแล้วเกิดจริง” พระเถระทูลถามว่า   “พระองค์ทรงระลึกได้หรือไม่ว่าเคยบรรทมหลับกลางวันแล้วทรงฝันเห็นสวน ป่า ภูมิสถาน และสระอันน่ารื่นรมย์
  ตรัสว่า “ระลึกได้”
  พระเถระทูลถามว่า        “ก็ในสมัยนั้นพวกคนที่คอยเฝ้าพระองค์มีอยู่หรือไม่”  ตรัสตอบว่า “มี”
  พระเถระจึงทูลว่า             “คนมีชีวิตอยู่ไม่อาจเห็นวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์ชีพอยู่ ไฉนพระองค์จะเห็นวิญญาณของคนตายเข้าออกได้”
  พระเจ้าปายาสิตรัสแย้งว่า        “พระองค์เคยรับสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ให้ชั่งน้ำหนักดูเมื่อเป็น แล้วเอาเชือกรัดคอให้ตายแล้วชั่งดูอีกที    ก็ปรากฏว่าในขณะที่ยังเป็นอยู่  มีน้ำหนักเบากว่าอ่อนกว่า ใช้งานได้ดีกว่าเมื่อตายแล้ว     ก็เมื่อวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว เหตุไฉนจึงกลับหนักกว่าเมื่อวิญญาณยังอยู่ เหตุนี้จึงไม่เชื่อว่าเรื่องตายแล้วเกิดใหม่
  พระเถระทูลเปรียบเทียบให้ฟังว่า    “เหมือนท่อนเหล็กที่เผาไฟแล้ว ความร้อนยังระอุอยู่ ย่อมมีน้ำหนักเบากว่า อ่อนกว่า  ใช้การงานได้ดีกว่าท่อนเหล็กท่อนเดียวกันนั้นที่ยังเย็นอยู่ ฉันใดคนตายเมื่อร่างกายายใน พร้อมทั้งวิญญาณ       พรากจากกันแล้วก็ย่อมมีน้ำหนักมากกว่าเมื่อมีชีวิตอยู่ ฉันนั้น”
  พระเจ้าปายาสิก็ไม่ทรงเชื่อ ตรัสต่อไปอีกว่า  “ข้อนี้ขอยกไว้ก่อน, พระองค์เคยรับสั่งให้จับโจรฆ่าให้ตาย โดยไม่ทำร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งให้บอบช้ำ  และเมื่อโจรนั้นจวนจะตายแน่แล้ว ก็สั่งจับให้นอนหงายเพื่อจะดูวิญญาณออกจากร่าง      ก็ไม่เห็นวิญญาณออกไป และสั่งให้พลิกโจรนั้นไปในอิริยาบถต่าง ๆ เช่น ให้เอาศีรษะลง เป็นต้น อีก ก็ไม่เห็นวิญญาณออกมาเลย จึงไม่เชื่อว่าวิญญาณมี”
  ในข้อนี้ พระเถระทูลเปรียบเทียบถวายว่า   “เปรียบเหมือนคนเป่าสังข์ เดินทางไปชนบทชายแดนแห่งหนึ่ง เป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง       แล้ววางสังข์ไว้บนดิน ชาวบ้านได้ยินเสียงสังข์ก็ชอบใจ แล้วพากันมารุมล้อมถามว่าเสียงอะไร       เขาตอบว่าเสียงสังข์ ชาวบ้านจับสังข์หงายขึ้น พร้อมกับพูดว่า “สังข์เอ๋ย จงเปล่งเสียง” แต่สังข์ก็ไม่เปล่งเสียง  จึงจับคว่ำ จับตะแคง ยกขึ้น เอาหัวลง เอาฝ่ามือ, ก้อนดิน, ท่อนไม้และศัสตราเคาะ    ดึงเข้ามา  ผลักออกไป จับพลิกไปมา เพื่อจะให้สังข์นั้นเปล่งเสียง สังข์นั้นก็ไม่เปล่งเสียงคนเป่าสังข์   เห็นว่าคนเหล่านั้นเป็นคนบ้านนอกเป็นคนเขลา หาเสียงสังข์โดยวิธีไม่แยบคาย      จึงหยิบสังข์ขึ้นมาเป่าให้ดู ๓ ครั้งแล้วหลีกไป คนเหล่านั้นจึงรู้ว่าสังข์ต้องประกอบด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ คน ๑ ความพยายาม ๑ ลม ๑  จึงมีเสียงได้ ถ้าไม่ประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้แล้ว    ก็มีเสียงไม่ได้ กายก็เช่นเดียวกันต้องประกอบด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ อายุ ๑ ไออุ่น ๑ วิญญาณ ๑ จึงสามารถยืน เดิน นั่ง นอน เป็นต้นได้    และสามารถรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ถ้าไม่ประกอดด้วยสิ่งเหล่านี้ก็ทำอะไร    ไม่ได้คนที่ค้นหา
วิญญานด้วยวิธีอันไม่ถูกต้อง ก็เป็นเหมือนคนป่า ขอร้องให้สังข์เปล่งเสียงฉะนั้น”
  พระเจ้าปายาสิตรัสว่า “พระองค์สั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้     โดยให้ตัดอวัยวะต่าง ๆ ออก เพื่อค้นหาวิญญาณก็ไม่พบจึงไม่เชื่อว่า คนเราตายแล้วเกิดจริง”
  พระเถระทูลเปรียบเทียบถวายว่า “เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง      อยู่กับฤาษีผู้เป็นอาจารย์ในป่า ฤาษีต้องการให้เด็กนั้นเฝ้าอาศรมแต่ผู้เดียว ส่วนตนเองเดินทางไปในชนบท แต่ก่อนไปได้สั่งเด็กน้อยนั้นว่า เจ้าอย่าประมาทในการบูชาไฟ    คือ คอยเอาฟืนใส่ในกองไฟอย่าให้ๆฟดับได้ ถ้าไฟดับ นี่มืด นี่ไม้สีไฟ เจ้าจงเอาสิ่งเหล่านี้ทำไฟให้ติดขึ้น     จงบูชาต่อไป เมื่อฤาษีจากไปแล้วเด็กมัวเล่นเพลินไปไฟก็ดับ เด็กคิดถึงคำสั่งขึ้นมาได้   จึงเอามีดมาถากไม้สีไฟ ด้วยหวังจะให้ไฟเกิดขึ้นก็ไม่ได้ จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีก ๓ ซีก จนถึง  ๒๐ ซีก ก็ยังไม่ได้ไฟจึงทำออกเป็นชิ้น ๆ  ใส่ครอกตำ แล้วมาโรยที่ลม ด้วยหวังจะได้ไฟ แต่ก็ไม่ได้ ฤาษีกลับมาเห็นเช่นนั้น ถามทราบความแล้ว จึงคิดว่าเด็กนี้ยังอ่อน ไม่ฉลาด      หาไฟอยู่โดยวิธีไม่ถูกต้อง จะได้ไฟอย่างไรจึงเอาไม้มาสีไฟให้เด็กดูถึงวิธีทำไฟให้เกิดขึ้น             พระองค์ก็เช่นเดียวกันปรารถนาจะค้นหา  วิญญาณ แต่หาโดยวิธีไม่ถูกต้อง จึงไม่สามารถพบหลักความจริงข้อนี้ได้”
  ในที่สุด พระเจ้าปายาสิต้องยอมจำนนต่อเหตุผล   และความจริงที่พระเถระนำมาแสดง และพระองค์ได้เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา    ทรงสละความเห็นผิดเสียได้
  จากเนื้อความในพระสูตรนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า    คนในครั้งก่อนมีการค้นคิดเรื่องตายแล้วเกิดใหม่กันมากเพียงไร          ทั้งเป็นเครื่องแสดงถึงความสามารถของพระกุมารกัสสปเถระผู้เป็นมหาสาวกองค์หนึ่งของพระบรมศาสดา     ในการโต้ตอบปัญหาเกี่ยวกับการเกิดใหม่ตามหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งเราในฐานะที่นับถือพุทธศาสนา   ควรทราบเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง


ปรากฏการณ์ทางจิต
  ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย     ไม่มีใครหลีกเลี่ยงพ้นความตายไปได้เลย นี้คือกฎธรรมชาติของทุกชีวิตที่เกิดมา และเมื่อมนุษย์หรือสัตว์โลกทั้งหลายใกล้จะตาย หรือจวนเจียนจะสิ้นใจนั้น กรรมดีหรือกรรมชั่วที่เขาได้เคยทำไว้      จะแสดงปรากฏการณ์ทางจิตออกมาให้ทราบ และบางครั้งก็แสดงออกมาให้ปรากฏทางกายหรือทางวาจา      อาการที่ปรากฏเมื่อจวนเจียนจะตายเช่นนี้ ท่านเรียกว่า “มรณาสันนาการ” และวิ๔จิต (จิตที่ออกรับอารมณ์ทางทวารทั้งหกทวารใดทวารหนึ่ง) ของผู้ที่จวนเจียนจะตายนี้ ท่านเรียกในคัมภีร์อภิธรรมว่า “มรณาสันนวิถี”      ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดในพระพุทธศาสนา เพราะในคัมภีร์อภิธรรมอธิบายเรื่องนี้ไว้ละเอียดถี่ถ้วนดีมาก ซึ่งจะถอดใจความนำมากล่าวไว้ในที่นี้เพื่อความเข้าใจดีขึ้นในการค้นคว้าศึกษาเรื่องการเกิดใหม่       ดังต่อไปนี้
มรณาสันนวิถี
  มรณาสันนวิถี เป็นวิถีจิตใกล้จะตาย คือ เมื่อมรณาสันนวิถีเกิดขึ้นแล้ว    จุติจิตย่อมเกิดขึ้นในลำดับที่ใกล้เคียงกัน จะไม่มีวิถีจิตที่มีอารมณืเป็นอย่างอื่นเกิดคั่นระหว่างจุติจิตเลย
  ในมรณาสันนวิถี มี๑ชวนจิตเกิดขึ้นเพียง ๕ ขณะเท่านั้น เพราะเหตุที่จิตมีกำลังอ่อน เนื่องจากอำนาจของกรรมที่ส่งมานั้นใกล้หมดอำนาจอยู่แล้ว   และอีกประการหนึ่งหทัยวัตถุอันเป็นที่ตั้งของจิตมีแต่เสื่อมกำลังไปเรื่อย ๆ      กำลังของจิตก็อ่อนเมื่อสุดมรณาสันนวิถีแล้ว ต่อจากนั้นจุติจิตก็เกิดขึ้น ๑ ขณะเท่านั้น ซึ่งเรียกว่า “สัตว์ถึงความตาย”
  ในทันทีที่จุติจิตดับลง ปฏิสนธิจิตต้องเกิดอย่างแน่นอน   โดยไม่มีจิตอื่นมาคั่นในระหว่างเลย นี้หมายถึงจิตของสัตว์ทั่วไปแต่ถ้าเป็นจิตของพระอรหันต์แล้ว   เมื่อจุติจิตหรือจิตดวงสุดท้าย
 ๑. ชวนจิต  คือ  จิตที่ทำหน้าที่เสพหรือเสวย อารมณืในวิถีจิตหนึ่งมีชวนะจิตได้   ๗ ขณะ บุญและบาป หือความสำรวม และความไม่สำรวมจะเกิดขึ้นในชวนจิตนี้เอง

ดับลงแล้วก็เข้าสู่นิพพาน ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
  มรณาสันนวิถีของปุถุชนและบุคคลทั้งหลาย เมื่อใกล้จะตาย     ก่อนที่จะจุติจิตจะเกิดขึ้น ถ้ามี    รูป   เสียง   กลิ่น   รส     หรือสัมผัสเป็นอารมณ์มรณาสันนวิถีเช่นนี้      เรียกว่า มรณาสันนวิถีทางปัญจทวาร    แต่ถ้าเป็นความรู้สึกนึกคิดทางใจ มรณาสันนวิถีนั้นเรียกว่า มรณาสันนวิถีทางมโนทวาร

อารมณ์ของจิตเมื่อจวนเจียนจะตาย
  ธรรมดาว่า      สัตว์นรกทั้งหลายที่ยังไม่สำเร็จพระอรหันต์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย   สัตว์เดรัจฉาน เทวดา  หรือพรหมก็ตาม เมื่อใกล้จะตาย จะมีอารมณ์ ๓ ประการเกิดขึ้น กรรม กรรมนิมิต  และคตินิมิต     อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นโดยจิตได้หน่วงหรือยึดเอาอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ในอารมณ์ทั้ง ๓ อย่างนี้ โดยมีอารมณ์ทั้ง ๓ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งมา ปรากฏทางทวารหนึ่งในจำนวนทวารทั้ง ๖ คือ
  ๑. กรรม
  ๒. กรรมนิมิต
  ๓. คตินิมิต
  ก. กรรม  ได้แก่กรรมอารมณ์ (อารมณ์คือกรรม) ที่เกี่ยวกับ กุศล อกุศล
  กรรมอารมที่เกี่ยวกับกุศลนั้น     ได้แก่บุญกุศลที่ตนได้กระทำมาแล้ว เช่น การให้ทาน การรักษาศีล การฟังธรรม หรือการเจริญภาวนา ในสมัยเมื่อตนได้สร้างบุญกุศลเหล่านี้ ตนปิติโสมนัสอย่างไร เมื่อจวนจะใกล้ตาย ก็จะเป็นเหตุให้นึกถึงบุญกุศลนั้น มีปิติดสมนัสเกิดขึ้น คือมีจิตใจหน้าตาแช่มชื่นเบิกบานคล้ายกับว่าตนกำลังทำบุญ      ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม หรือเจริญภาวนาอยู่ในขณะนั้น จึงมักตายจากไปอย่างสงบ ไม่หลงตาย
  ส่วนกรรมารมณ์ที่เป็นอกุศลนั้น คือ ตนเคยทำบาปอกุศลอย่างใดมา    เช่น เคยฆ่าคน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เคยถูกจองจำเพราะทำทุจริตหรือเคยโกรธแค้นพยาบาท เป็นต้น ก็ให้นึกบาปกรรมที่ตนเคยทำไว้      ทำให้มีความสุขใจ   มีความเศร้าหมอง    หรือมีความโกรธขึ้น คล้าย ๆ กับว่าตนกำลังทำกรรมชั่วเหล่านั้น   หรือกรรมเหล่านั้นกำลังเกิดขึ้นแก่ตนอยู่ในขณะเมื่อจวนจะตายนั้น   จึงมักตายจากไปอย่างกระสับกระส่าย หรือหลงตาย
  กรรมารมณ์เป็นความรู้สึกทางใจ จึงปรากฏได้ทางใจหรือทางมโนทวารอย่างเดียว ถ้ากรรมารมณ์ฝ่ายกุศลมาปรากฏก็นำไปสู่ทุคติ
  ข. กรรมนิมิต   คือ  เครื่องหมาย  หรืออุปกรณ์ในการทำกรรมได้แก่อารมณ์ ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายหรือสภาพที่รู้ทางใจ ที่เกี่ยวกับการทำกรรมของตนแต่ละบุคคลที่ตนเคยทำไว้แล้ว ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ย่อมแสดงนิมิตเครื่องหมายออกมาให้ปรากฏเมื่อจวนจะตาย
  ถ้าเป็นฝ่ายบุญกุศล   ก็ทำให้รู้เห็นเครื่องหมาย แห่งบุญกุศลที่ตนเคยทำมา เช่น โบสถ์ วิหาร ดรงเรียน โรงพยาบาลที่ตนเคยสร้าง    เห็นภาพพระภิกษุที่ตนเคยบวช หรือบวชลูกหลาน เห็นพระพุทธรูปที่ตนเองเคยสร้าง     เห็นขันข้าวหรือทัพพีที่ตนเคยตักบาตรเป็นต้น หรือภาพนิมิตแห่งกิริยาอาการที่ตนเคยทำบุญกุศลนั้น ๆ    มาปรากฏแก่ตนในเมื่อเวลาจวนจะตาย          เมื่อจิตได้หน่วงเอาภาพนิมิตนั้นมาเป็นอารมณ์   ให้เห็นเป็นนิมิตเครื่องหมาย   หรืออุปกรณ์ในการทำบุญกุศลต่าง ๆ เหล่านั้นที่ตนเคยทำมาก็ย่อมนำไปเกิดในสุคติ เพราะมีจิตใจเบิกบานไม่เศร้าหมอง
  แต่ถ้ากรรมนิมิตที่เป็นอกุศลกรรม    เช่น เคยฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ มาปรากฏ ก็ทำให้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการทำกรรม     เช่น เห็นหอก ดาบ อวน เห็น เครื่องประหารเบียดเบียนสัตว์ที่เคยใช้ในการทำบาปมาแล้ว   บางคนทำให้สะดุ้งหวาดเสียว ร้องไห้เสียงลั่น คิดว่าจะมีคนทำร้ายตน บางคนถ้าเคยฆ่าหมู      ก็ร้องเสียงเหมือนหมู ฆ่าวัวก็ร้องเสียงเหมือนวัว ถ้าเคยชนไก่ก็เอาหัวแม่มือทั้ง ๒ ของตนชนกันแล้วร้องเหมือนเสียงไก่ชน ถ้ากรรมนิมิตฝ่ายบาปอกุศลมาปรากฏเป็นอารมณ์เหมื่อจวนตายเช่นนี้ ก็ย่อมนำไปเกิดในทุคติ
  กรรมนิมิตทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลดังกล่าวมาแล้ว      ถ้าเป็นเพียงคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้น นิมิตนั้น ๆ       จะปรากฏทางมโทวาร เป็นอดีตารมณ์ (อารมณ์อดีต) แต่ถ้าเห็นด้วยตาจริง ๆ ได้ยินด้วยหูจริง ๆ ได้กลิ่น รู้รส     ถูกต้องสัมผัสทางกายจริง ๆ ก็เป็นนิมิตที่ปรากฏทางปัญจทวาร และเป็นอารมณ์ในทางปัจจุบัน
  ค. คตินิมิต  คือ นิมิต หรือเครื่องหมายที่บ่งบอกให้ทราบถึงคติหรือภพที่จะไปเกิด จะไปเกิดในสุคติภพก็มีนิมิตบ่อบอกให้ทราบ      จะไปเกิดในทุคติภพก็มีนิมิตบ่งบอกให้ทราบ
  ถ้าเป็นคตินิมิตที่จะนำไปสู่สุคติ      ก็จะปรากฏเป็นปราสาท    ราชวัง     วิมาน ทิพยสมบัติ เทพบุตร เทพธิดา เห็นครรภืมารดา เห็นวัดวาอาราม เห็นบ้านเรือนผู้คน หรือพระภิกษุสามเณร   ซึ่งล้วนแต่เห็นสิ่งที่ดี ๆ   อย่าง   เช่น   ธัมมิกอุบาสก เห็นรถทิพย์  ๖  คันมาจากสวรรค์ทั้ง ๖ ในขณะที่ตนจวนจะตาย ซึ่งกล่าวไว้อรรถกถาธรรมบท
  ถ้าเป็นคตินิมิต ที่จะนำไปสู่ทุกคติ ก็มีสิ่งที่อยู่ในภพชาติที่จะไปเกิดใหม่นั้นมาปรากฏให้เห็น ถ้าจะไปเกิดในนรก ก็ปรากฏเห็นเป็นเปลวไฟนรก เห้นนายนิรยบาล เห็นสุนัข เห็นแร้ง กา เป็นต้น      ที่กำลังจะเข้าทำร้ายตน ถ้าเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็จะเห็นเหว ถ้ำ ป่าทึบ หรือทุ่งหญ้า หนองน้ำ เป็นต้น ที่ตนจะต้องไปเกิด
  คตินิมิต  จะปรากฏได้ในทวาร ทั้ง  ๖  แต่ที่ปรากฏส่วนมากทางจักษุทวารและมโนทวาร คือ เห็นทางตา และทางใจเป็นส่วนมาก และจัดเป็นอารมณ์ในปัจจุบัน
  อารมณ์ของมรณาสันนวิถีนี้     ย่อมเป็นกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิต อย่างใดอย่างหนึ่ง มาปรากฏแก่วิถีจิตที่ใกล้ชิดกับจุติจิตที่สุด หรือจะเรียกว่า  “เป็นการฝันครั้งสุดท้ายในชีวิตก็ได้” ถ้าฝันไม่ดี คือเห็นอารมณ์นิมิตไม่ดี ก็ไปเกิดในทุคติ ถ้าฝันดี คือเห็นอารมณ์ที่ดีก็ไปเกิดในสุคติ


กรรมที่ให้ผลตามลำดับ ๔ ประการ
  นิมิตทั้ง ๓ ประการ ที่เป็นอารมณ์   ปรากฏ  ในมรณาสันนวิถีนี้ ย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจกรรม ๔ ประการที่ให้ผลตามลำดับ คือ
  ๑. ครุกรรม        กรรมหนัก  กรรมอื่นไม่อาจจะห้ามหรือขัดขวางผลของกรรมประเภทนี้ และครุกรรมนี้ มีทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล
  ครุกรรมฝ่ายกุศล   ได้แก่ มหัคคตกุศลจิต ๙ ดวง คือ รูปาวจรกุศล ๕ อรูปาวจรกุศล ๔ ที่จะนำไปเกิดเป็นรูปพรหมหรืออรูปพรหม
  ส่วนครุกรรมฝ่ายอกุศล  ได้แก่อนันตริยกรรม ๕ คือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำโลหิตพระพุทะเจ้าให้ห้อ และทำสังฆเภท คือทำสงฆ์ให้แตกกัน
  ๒. อาสันนกรรม         กรรมที่ได้กระทำหรือระลึกได้เมื่อใกล้จะตาย คือก่อนที่มรณาสันนวิถีเกิด มีได้ทั้งกุศลอาสันนกรรมหรืออกุศลอาสันนกรรม  ถ้าไม่มีครุกรรมแล้ว อาสันนกรรมย่อมให้ผล คือย่อมกระทำนิมิตที่เป็นกรรม กรรมนิมิต    หรือคตินิมิตให้ปรากฏในมรณาสันนวิถีได้
  ถ้าเป็นกุศลอาสันนกรรม ก็นำไปเกิดในสุคติภูมิ แต่ถ้าเป็นอกุศลอาสันนกรรม ก็นำไปเกิดในทุคติภูมิ
  ๓. อาจิณณกรรม     กรรมที่ทำจนเคยชิน        หรือ        ทำเป็นประจำมีทั้งกุศล
อาจิณณกรรมและอกุศลอาจิณณกรรม อาจิณณกรรมนี้ถ้าไม่มีครุกรรม และอาสันนกรรมแล้ว ก็ย่อมจะให้ผล โดยทำให้เป็นอารมณ์แก่มรณาสันนวิถี ถ้าเป็นกุศลอาจิณณกรรม      ก็นำไปสู่สุคติแต่ถ้าเป็นอกุศลอาจิณณกรรม ก็นำไปสู่ทุคติ
  อาจิณณกรรม คือ กุศลกรรม  หรืออกุศลกรรมที่ได้ทำมาเป็นประจำหรือระลึกถึงบ่อย ๆ เช่น ทำบุญตักบาตรทุกวัน ฆ่าสัตว์ทุกวัน  หรือคิดถึงกรรมดี       หรือกรรมชั่วที่ตนเองกระทำอยู่เสมอ ถ้าไม่มีครุกรรมหรืออาสันนกรรมแล้ว       อาจิณณกรรมก็ย่อมปรากฏผล
โดยทำอารมณ์แก่มรณาสันนวิถี        ถ้าเป็นกุศลอาจิณณกรรม ก็นำไปสู่สุคติ แต่ถ้าเป็นอกุศล
อาจิณณกรรม ก็นำไปสู่ทุคติ
  ๔.  กตัตตากรรม  คือ  กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่ได้กระทำไปโดยไม่ตั้งใจไว้ก่อน หรือกุศล อกุศลกรรมที่ทำด้วยเจตนาอันอ่อน กรรมนี้จัดเป็นกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินิท่านกล่าวว่า “กรรมที่นอกไปจากกรรม ๓ อย่างข้างต้น คือ ครุกรรม อาสันนกรรม และอาจิณณกรรม เป็นกรรมสักว่าทำเท่านั้น  ชื่อ ๑กตัตตากรรม”
  ถ้าไม่มีครกรรม อาสันนกรรม และอาจิณณกรรมแล้ว ก้เป็นหน้าที่ของกตัตตากรรม ถ้าเป็นกุศลกตัตตากรรม ก็นำไปสู่สุคติ แต่ถ้าเป็นอกุศลกตัตตากรรม ก็นำไปสู่ทุคติ

สามเณรสนทนากับเปรต
  “ท่านทั้งสองมือถือค้อน เดินร้องไห้มีน้ำตานองหน้ามีตัวเป็นแผลแตกพัง เมื่อท่านเกิดเป็นมนุษย์ท่านทำบาปอะไรไว้ ท่านทั้งสองดื่มโลหิตของกันและกัน เพราะท่านได้ทำกรรมอะไรไว้”
  นี้คือคำถามตอนหนึ่ง ซึ่งสามเณรผู้เป็นศิษย์ของพระสังกิจจเถระผู้ได้เห็นเปรตสองตน ซึ่งมีอาการแปลกประหลาด แล้วได้ถามขึ้นด้วยความอยากรู้

เรื่องนี้ ส่วนใหญ่ผู้เขียนถอดใจความจากเรื่องนาคเปรต เปตวัตถุ คัมภีร์ ขุททกนิกาย และจากอรรถกถาเปตวัตถุ คัมภีร์ปรมัตถทีปนี
  เล่ากันว่า       สังกิจจสามเณร ผู้มีอายุ ๗ ขวบ ผู้เป็นศิษย์พระสารีบุตรเถระ ได้สำเร็จพระอรหันต์ในเวลาที่ปลงผม ต่อมาสามเณรได้ไปอยู่ป่าแห่งหนึ่งกับภิกษุ  ๓๐  รูป และได้ใช้อำนาจฌานสมบัติของตนป้องกันพระเถระ ๓๐ รูป             ไม่ให้ถูกพวกโจรฆ่าซ้ำยังสั่งสอนพวกโจรเหล่านั้นให้เลื่อมใส    ให้บวชเป็นสามเณรทั้งหมด     แล้วนำไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมให้สามเณรที่บวชใหม่ทั้งหมดนั้นสำเร็จพระอรหันต์  และให้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ต่อมา เมื่อสังกิจจสามเณรได้อุปสมบทแล้ว            ก็ได้ไปอยู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี พร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป     ผู้เป็นศิษย์ของท่าน
  ในกรุงพาราณสีนั้นนั้น มีบุตรของพราหมณ์คนหนึ่ง         ได้ฟังธรรมของพระสังกิจจเถระแล้วเกิดความสลดใจ ได้ออกบวชเป็นสามเณร      แล้วได้ไปฉันที่เรือนลุงของตนเป็นนิตย์ แต่มารดาต้องการให้สามเณรสึกออกมาครองเรือน จึงได้พูดประโลมให้สามเณรนั้นพอใจกับหญิงสาวคนหนึ่ง           ซึ่งเป็นธิดาพี่ชายของตนสามเณรนั้นก็อยากสึก จึงไปหาพระ
สังกิจจเถระผู้เป็นอุปัชฌาย์เพื่อขอสึก        พระอุปัชฌาย์ยังไม่ต้องการให้สึก       เพราะเห็นว่าสามเณรมีอุปนิสัยที่จะบวชในพระพุทธสาสนาได้ผลอยู่      จึงพูดว่า “สามเณร จงรอสักเดือนหนึ่งก่อน” สามเณรก็เชื่อฟัง แต่เมื่อครบหนึ่งเดือนแล้ว จึงไปขอลาสึกอีก พระเ๔ระให้รอไปอีกกึ่งเดือน เมื่อเลยกึ่งเดือนไปแล้ว ก็ให้รอไปอีก ๗ วัน ในภายใน  ๗  วันนั้น   ได้เกิดพายุพัดใหญ่ขึ้นในเมืองพาราณสี ทำให้เรือนลุงของสามเณรล้มพังลง ลุงกับป้าพร้อมบุตรชาย ๒ คน และบุตรหญิง ๑ คน ถุกเรือนทับตาย ลุงกับป้าได้ไปเกิดเป็นเปรต  บุตรกับธิดา ได้ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา อยู่มนุษย์โลกนี้เอง บุตรคนโตมีช้างเป็นพาหนะ     บุตรคนเล็กมีรถม้าเป็นพาหนะ ธิดามีวอทองเป็นพาหนะ ส่วนลุงกับป้า คือพราหมณ์กับพราหมณ์     ได้ถือเอาค้อนเหล็กใหญ่ทุบตีกัน ร่างกายที่ถูกทุบตีด้วยค้อนเหล็กใหญ่นั้นก็บวมขึ้นแล้วแตกในทันที เปรตทั้งสองนั้น ก็ได้ดื่มกินน้ำเหลืองและโลหิตของกันและกันเป็นอาหาร
  ครั้งนั้น สามเณรนั้นก็ได้เข้าไปลาพระอุปัชฌาย์อีก   โดยกราบเรียนว่า “พ้นวันที่กำหนดไว้แล้ว ผมจะกลับบ้าน ขออนุญาตให้ผมกลับบ้านเถิดครับ” พระสังกิจจเถระซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ ผู้สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าด้วยอำนาจอภิญญาจิต       จึงได้พูดกับสามเณรว่า “เธอไปได้ แต่จงกลับมาในเวลาสิ้นแสงตะวันของวันสิ้นแสงตะวันของวันสิ้นเดือน    แล้วจงไปยืนอยู่ที่ข้างวิหารแห่งหนึ่ง”
  สามเณรก็ได้ทำตามที่พระอุปัชฌาย์สั่ง ครั้งนั้น รุกขเทวดา ๒ องค์     พร้อมกับน้องสาวได้ผ่านไปทางนั้น เพื่อจะไปที่สมาคมของเหล่าเทพยดา   ส่วนมารดากับบิดาของรุกขเทวดานั้นซึ่งตายไปเกิดเป็นเปรต ในวันนั้นก็ได้เดินผ่านไปทางนั้น    เปรตสองตนได้ถือค้อนเหล็กอันใหญ่ต่างได้กล่าวคำหยาบช้าต่อกันแล้วก้ทุบตีกันงเอง     เมื่อสามเณรเดินผ่านไปทางนั้น พอดีเป็นเวลาสิ้นแสงพระอาทิตย์ พระสังกิจจเถระผู้เป็นพระอรหันต์ก็บันดาลให้สามเณรได้เห็นรุกขเทวดาและเปรตทั้งสอง ด้วยอำนาจฤทธิ์ของท่าน ด้วยต้องการ   จะให้สามเณรเกิดความสลดใจ แล้วจึงถามสามเณรว่า    “เจ้าเห็นพวกที่ผ่านไปทางนี้หรือไม่”    สามเณรตอบว่า “ผมเห็นครับ” “ถ้าอย่างนั้น เธอลองถามกรรมของเขาดูว่า พวกเขาได้ทำกรรมอะไรไว้”  พระเถระกล่าวแนะนำขึ้น
  เมื่อได้รับคำแนะนำจากอุปัชฌาย์เช่นนั้น       สามเณรจึงถามว่า “คนหนึ่งขี่ช้างเผือกไปข้างหน้า      คนหนึ่งขี่รถเทียมด้วยม้าอัสดรไปท่ามกลาง    สาวน้อยขึ้นวอไปข้างหลัง เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั่วทิศ     ส่วนท่านทั้งสองมือถือค้อน เดินร้องไห้มีน้ำตานองหน้า มีตัวเป็นแผลแตกพัง ท่านเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบาปอะไรไว้ ท่านทั้งสองดื่มกินโลหิตของกันและกัน เพราะทำกรรมอะไรไว้”
  เปรตทั้งสองฟังสามเณรถามแล้ว จึงตอบว่า   “ผู้ที่ขี่ช้างเผือกชาติกุยชรไปข้างหน้า เป็นบุตรหัวปีของข้าพเจ้าทั้งสอง เมื่อเป็นมนุษย์เขา   ได้ถวายทานแก่พระสงฆ์ จึงได้รับความสุขบันเทิงใจ ผู้ที่ขี่รถเทียมด้วยม้าอัสดร ๔ ตัว      แล่นเรียบไปในท่ามกลางเป็นบุตรคนกลางของข้าพเจ้าทั้งสอง เมื่อเขาเป็นมนุษย์ เป็นคนไม่ตระหนี่เป็นทานบดี   (เป็นใหญ่ในการให้ทราบ รุ่งโรจน์อยู่ ส่วนนารีที่มีสติปัญญา ซึ่งมีดวงเนตรกลมงามแวววาว     ดุจตาเนื้อทรายขึ้นวอทองไปข้างหลังนั้น นางเป็นธิดาสุดท้องของข้าพเจ้าทั้งสอง   นางมีความสุขเบิกบานใจเพราะผลแห่งทาน เมื่อก่อนเขาทั้งสามมีใจเลื่อมใส     ได้ถวายทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เขาทั้งสามถวายทานแล้ว จึงเอิบอิ่มอยู่ในกามคุณอันเป็นทิพย์        ส่วนข้าพเจ้าทั้งสองเป็นคนตระหนี่ ได้ด่าสมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงมีร่างกายซูบซีด ดุจไม้อ้อที่ถูกไฟไหม้”
  สามเณรถามว่า “อะไรเป็นอาหารขงอท่าน อะไรเป็นที่นอนของท่าน และท่านผู้มีบาปมากยิ่งนักเลี้ยงอัตภาพให้เป็นอยู่ได้อย่างไร     เมื่อโภคะเป็นอันมากมีอยู่แต่ท่านไม่ได้รับความสุข เสวยแต่ความทุกข์อยู่ในวันนี้”
  เปรตทั้งสองตอบว่า “ข้าพเจ้าทั้งสองตีซึ่งกันและกัน    แล้วกินเลือดและหนองของกันและกัน     ได้ดื่มเลือดและหนองเป็นอันมาก็ยังไม่หายอยากมีความหิวอยู่เป็นนิตย์ ชนทั้งหลายผู้ไม่ให้ทานเมื่อตายไปแล้วก็เกิดในยมโลก   ร่ำไห้อยู่     เหมือนข้าพเจ้าทั้งสอง ใครก็ตามได้โภคทรัพย์ต่าง ๆ แล้วตนเองก็ไม่ใช้ ทั้งไม่ยอมทำบุญ     ผู้นั้นจะต้องหิวกระหายไปในปรโลก ภายหลัง ถูกความหิวแผดเผาไหม้อยู่สิ้นกาลนาน เมื่อได้ทำกรรมชั่วที่มีผลเผ็ดร้อน มีทุกข์เป็นผล ย่อมประสบความทุกข์ ทรัพย์สมบัติจัดว่าเป็นของ เล็กน้อย    ผู้มีปัญญา รู้อย่างนี้แล้วควรทำที่พึ่งให้แก่ตน บุคคลเหล่าใดเข้าใจทางธรรม     เพราะได้ฟังธรรมของพระอรหันต์ทั้งหลายบุคคลเหล่านั้น ย่อมไม่ประมาทในการให้ทาน ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นลุงและป้าของสามเณรเอง”
  เมื่อสามเณรได้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็เกิดความสลดใจ จึงระงับความอยากสึกไว้ได้ แล้วเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ หมอบกราบลงแล้วเรียนท่านว่า   “ท่านได้ทำประโยชน์แก่กระผมโดยแท้ ได้ปลดเปลื้องกระผมออกจากความทุกข์ได้แล้ว       บัดนี้ กระผมไม่ต้องการที่จะเป็นฆราวาสแล้ว กระผมยินดีต่อการประพฤติพรหมจรรย์”
  ลำดับนั้น พระสังกิจจเถระ   ได้บอกพระกรรมฐานที่เหมาะสมกับอุปนิสัยของสามเณร เมื่อสามเณรนั้นเจริญกรรมฐาน ก็ได้สำเร็จอรหันต์   พระสังกิจจเถระได้นำเรื่องนี้ไปกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธองค์ก็ทรงถือเอาเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ        แล้วตรัสเทสนาให้เป็นประโยชน์แก่มหาชน.

  ภาคที่สอง
ข้อพิสูจน์  ๗  ประการ
เรื่อง
ตายแล้วเกิดใหม่
ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิดใหม่
 ในเรื่องตายแล้วเกิดใหม่นี้       ผู้เขียนมีข้อพิสูจน์อยู่ ๗ อย่างว่าตายแล้วเกิดจริง  ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่จริงในปัจจุบัน    โดยไม่ต้องอ้างคัมภีร์หรือตำรา  หรือโดยไม่ต้องอ้างว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลาย          ตรัสไว้อย่างนี้ แต่ก็สามารถยอมรับเหตุผลตามความเป็นจริงได้เพราะการเวียนว่ายตายเกิดและภพภูมิต่าง ๆ      ที่ยืนยันไว้ตามหลักพระพุทธศาสนานั้นเป็นกฏของธรรมชาติของมัน         เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามกฏธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ก็มีอยู่แล้วอย่างนี้  หรือพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้หรือไม่ก็ตาม  สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน  แต่ว่าพระพุทธเจ้าเมื่อทรงเห็นแล้วก็ได้ตรัสยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง   
  ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิด  เท่าที่ค้นพบและมีหลักฐานยืนยันให้เชื่อถือได้ในปัจจุบัน มีอยู่ ๗ อย่าง คือ
 ๑. คนระลึกชาติได้  ซึ่งข้อพิสูจน์นี้มีตัวอย่างนับเป็นพัน ๆ เรื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    ๒. คนผีเข้า  ซึ่งมีตัวอย่างปรากฏอยู่มากในปัจจุบันถ้าวิญญาณไม่มีแล้ว ผีจะมาเข้าคนได้อย่างไร
 ๓. เทวดาเข้าทรง  มีเรื่งเทวดาที่มาปรากฏแก่คนอยู่มากในปัจจุบัน     และที่เข้าทรงในมนุษย์ก็มีอยู่มาก อันเป็นเตรื่องยืนยันว่า        โอปปาติกะกำเนิด    อันอยู่ในภพภูมิหรือสวรรค์นั้นมีจริง
  ๔. การสะกดจิต  ข้อนี้ในวงการแพทย์ปัจจุบันใช้กันมากถ้าจิตหรือวิญญาณไม่มีแล้ว  จะมีการสะกดจิตได้อย่างไร
 ๕. การสะกดจิตย้อนภพ  ซึ่งกรณีเช่นนี้ค้นพบครั้งแรก    ในสหรัฐอเมริกา  ทำให้สืบประวัติย้อนหลังไปถึงชาติก่อนได้เป็นอย่างดี
  ๖. เด็กอัจฉริยะ  ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มาก  ทั้งในประเทศและต่างประเทศ  เช่น เด็กที่อายุยังน้อย สามารถแต่งกาพย์ กลอน หรือเล่นดนตรีได้ไพเราะอย่างน่าพิศวง  และบางคนก็สามารถพูด  ภาษาอันตนไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน  หรือเรียนมาแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่มีความสามารถเหนือเด็กทั่วไปในวัยเดีบวกันเป็นอย่างมากในเรื่องนั้น ๆ อันแสดงให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ตนได้เคยเรียนมาแล้วเมื่อชาติก่อน เมื่อมาเกิดในชาติใหม่    จึงมีความสามารถติดมาอย่างอัศจรรย์
 ๗. เด็กฝาแฝด  คือเด็กฝาแฝดนั้น            แม้จะเกิดมาเหมือนกันทั้งด้านร่างกาย กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม แต่คู่แฝดมักจะมีอุปนิสัยใจคอ   ความเฉลียวฉลาด  และชะตาชีวิตแตกต่างกันอันแสดงให้เห็นว่าเขาเคยเกิดมาแล้วในชาติก่อน    ได้เคยสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน ผลที่แสดงออกมาในชาตินี้จึงไม่เหมือนกันทั้ง ๆ       ที่มีกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน

  เพื่อจะให้เข้าใจเรื่องตายแล้วเกิดชัดเจนยิ่งขึ้น  จึงได้นำเรื่องจริงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันมาแสดงใว้เท่าที่สามารถรวบรวมมาได้      ขอให้ท่านผู้สนใจได้อ่านพร้อมด้วยการใช้วิจารณญาณประกอบ  ดังต่อไปนี้
การระลึกชาติได้
 เรื่องนี้ มาจากการสอบถาม       และสอบสวนความเป็นมา โดย ดร. สตีเวนสัน เกิดขึ้นในประเทศศรีลังกา            การระลึกชาตินี้เป็นชีวิตของเด็กชายผู้หนึ่งนามว่า  “ เอช  เอ
วิชรัตนี”  เกิดที่ตำบล อุคคัลโตตะ  ลังกา  เมื่อวันที่๑๗ มกราคม พ.ศ ๒๔๙๐ เป็นบุตรของนายเอชเอ ติเลรัตนี ฮามี  และนางรัตรัน ฮามี
  ตั้งแต่แรกกำเนิด        ปรากฏว่ามีรอยเหมือนแผลเป็นอยู่ที่หน้าอกเบื้องขวา ใต้กระดูกไหปลาร้า เป็นรอยบุ๋มลงไปประมาณ  ๒  นิ้ว   และแขนขวาของเด็กผู้นี้ลีบพิการ  แขนข้างขวาสั้นกว่าแขนข้างซ้ายซึ่งเป็นแขนดี       แขนขวาลีบเล็กกว่าธรรมดาครึ่งหนึ่งและนิ้วมือของมือขวาพิการอีกด้วย  คือทุก ๆ นิ้วของมือข้างขวาสั้นกุด         มีข้อเพียงข้อเดียว  นิ้วชี้  นิ้วกลาง นิ้วนางติดกันด้วย มีหนังยึดไว้ ส่วนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยแยกออกได้     นายวิชรัตนี ใช้มือข้างขวาเพียงจับปากกาหรือดินสอเขียนหนังสือได้เท่านั้น      แต่จะใช้งานหนักกว่านี้ไม่ไหว  เป็นว่ามือข้างขวาแทบจะใช้การอะไรไม่ได้เลย  ดร. สตีเวนสัน สอบถามเรื่องนี้เมื่อ พ.ศ ๒๕๐๔ เด็ฏชายวิชรัตนี อายุได้ ๑๔ ปีแล้ว   รอยแผลเป็นที่อกข้างขวา  และมือขวาพอการของ
นายวิชรัตนี นี้  มีมูลเหตุดังจะได้เล่าต่อไปนี้
 พอเด็กชายวิชรัตนี อายุได้  ๒  ขวบเศษเดินได้         ก็มักจะพูดกับตัวเองบ่อยๆ มารดาเห็นผิดสังเกตุก็ฟังดู ได้ยินเสียงบ่นว่าแขนขวาพิการก็   เพราะเมื่อชาติก่อนได้ฆ่าเมียไว้ เด็กก็ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่ได้ฆ่าภรรยาไว้มากมาย ซึ่งนางไม่เคยรู้เลย จึงได้ถามสามีดู
  นายเอช เอ ติเลรัตนี จึงได้บอกว่า เด็กคงจะเล่าถึงชาติก่อนเรื่องนาย รัตรัน ฮามี ผู้เป็นน้องชายของนายเอช เอ ติเลรัตนี ได้ฆ่าภรรยาของตน ต้องโทษประหารชีวิต   เมื่อปี พ.ศ ๒๔๗๑ แล้วมาเกิดเป็นเด็กนี้       นายติรัตนี เล่าว่า แกได้เคยบอกภรรยาตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ    ว่าน้องชายมาเด็กเป็นลูก         เพราะสังเกตุเห็นว่าเด็กคนนี้หน้าตาเหมือนนาย รัตรัน และผิวคล้ำเหมือนนายรัตรัน ส่วนบุตรคนอื่น ๆ นั้นผิวค่อนข้างขาว  แต่นางไม่สนใจ  มาได้ยินเด็กเล่าถึงชาติก่อนจึงได้ถามสามีขึ้น              ภริยานายติเลรัตนี ไม่เคยรู้เรื่องน้องชายสามีฆ่าคน และถูกประหารชีวิตมาก่อนเลย เพราะนางแต่งงานกับนายติเลรัตนี เมื่อปี  พ.ศ ๒๔๗๗ หลังจากเรื่องฆ่ากัน ๘-๙ ปี  ที่เกิดเหตุก็ห่างไกลจากบ้านนางมาก นางไม่เคยได้ยินเรื่องราวเลย ทั้งสามีก็ไม่เคยเล่าให้ฟังมาก่อนเลย
 เมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบความทราบถึงพระภิกษุอนันท์เมตไตรยะ ศาสตราจารย์ฝ่ายพุทธปรัชญา      วิทยาลัยลังกาปริเวณะ  เมืองโคลัมโบ  ได้มาสอบถามเรื่องราวประมาณปี
พ.ศ ๒๔๙๔-๒๔๙๕ ต่อจากนั้นเมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบเศษก็ค่อย ๆ เลิกพูดถึงชาติก่อน เว้นแต่เมื่อใครทักถามขึ้นจึงจะเล่าให้ฟัง
  ได้กล่าวแล้วว่า ดร. สตีเวนสัน  ได้สอบถามเรื่องนี้ เมื่อปี พ.ศ ๒๕๐๔ เด็กชายวิชรัตนี ชื่อนายรัตรัน ฮามี         เป็นชาวนาอยู่ที่ตำบลคัลโตตะ มีภริยาแล้ว ภรรยาตาย ตกเป็นพุ่มม่าย เด็กชายวิชรัตนี จำชื่อภรรยาคนที่ตายไม่ได้
ต่อมา เขาได้เข้าสู่พิธีแต่งงานกับ   หญิงสาวคนหนึ่ง     ชื่อ   โพธิมณิเก         อยู่
ตำบลนาวเนลิยะ พิธีแต่งงานกระทำ ณ บ้านเจ้าสาว   แล้วได้เกิดฆาตกรรมที่บ้านเจ้าสาวนี้    
เด็กชาย วิชรัตนี บอกกับบิดา ตนได้ฆ่าภรรยาด้วยมือของเขาเอง 
  ความจริงจะใช้คำว่า ภรรยาไม่ถูกนัก     เพราะพิธีแต่งงาน ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ ด้วยยังไม่ได้ส่งตัวเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าสาวขออยู่ที่บ้านเดิม ไม่ไปอยู่กับเจ้าบ่าว  
 ใกล้จะถึงเวลาส่งตัว        เจ้าบ่าวได้ไปยังบ้านเจ้าสาว        อ้อนวอนให้เจ้าสาว
ไปอยู่กับเขาที่บ้าน ฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอมจะไปอยู่ที่บ้านของตน
   เจ้าบ่าวสงสัยอยู่แล้วว่า เจ้าสาวคงมีคู่รักติดพัน  เป็นชายอยู่ในบ้านของนางเอง ชื่อโมหัตติ ฮามี และสงสัยว่าชายผุ้นี้คงยุแหย่ ไม่ให้นางไปอยุ่กับเขา
  เมื่อนางปฏิเสธ เขาก็เดินกลับบ้าน ซึ่งอยู่หางประมาณ  ๘  กิโลเมตร มาถึงบ้าน เขาก็เอากริชไปลับที่หลังบ้านใต้ต้นส้ม แล้วกลับไปยังบ้านนาง
  เด็กชายวิชรัตนี ยังชี้ที่ที่ตนลับกริชให้มารดาดู
ก่อนจะไปฆ่าเจ้าสาว       เขายังขอยืมเงินพี่ชาย    จำนวน   ๕๐  รูปี    ไปใช้หนี้
สร้างบ้าน       ซึ่งเขาเป็นหนี้อยู่ให้เสร็จสิ้นไป          มาถึงบ้านเจ้าสาวมองเห็นชายซึ่งเขาคิดว่าเป็นคนรักของเจ้าสาว     เขาคิดว่าเพราะเจ้าคนนี้นี่เองเจ้าสาวจึงไม่ไปอยู่กับเขา  เขาจึงตรงเข้าไปแทงเจ้าสาวที่เหนืออกข้างขวา  เขาถูกชายผู้นั้นทุบตีด้วย     
   ในการต่อสู้คดี   เขาสู้ว่า  ได้เกิดทะเลาะวิวาทต่อสุ้กันขึ้น โดยฝ่ายเจ้าสาวเป็นผู้ก่อเหตุก่อน   เพื่อนของเจ้าสาวเป้นผู้จับตัวเขาไว้ไม่ให้หนี  เขาจึงเกิดโทสะแทงนางโดยมิได้ตั้งใจจะฆ่านางเลย 
ฝ่ายพวกเจ้าสาวให้การว่า  เขาเป็นผู้แทงนางก่อน  แล้วพวกของนางจึง
เข้าตีเขา
 ศาลรับฟังฝ่ายโจทย์  พิพากษาให้ประหารชีวิต  ให้ตายตกไปตามกัน

 พอศาลพิพากษาแล้ว      นายติเลรัตนีก็ไปเยี่ยมน้องชายของเขา  เขาบอกว่า เขาไม่กลัวตายหรอก  เขารู้แล้วว่าเขาจะต้องตาย    เขาเป็นห่วงแต่พี่ชายเท่านั้น นายติเลรัตนี บอกว่าน้องชายเป็นคนว่าง่าย 
เรื่องที่ฆ่าเจ้าสาวของตนนั้น     ด.ช วิชรัตนี   บอกว่า        ตอนนั้นเคืองมาก อด
ใจใว้ไม่ไหว ไม่คิดเลยถึงโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ เด็กบอก ดร. สตีเวนสันว่า    ที่ถูกแขวนคอนั้น ศาลตัดสินถูกต้องแล้ว ส่วนเรื่องเหตุผลที่ฆ่าภรรยาเป็นการถูกต้องสมควรหรือไม่    แม้ชาตินี้เขาก็คิดว่าที่ฆ่าผู้หญิงผู้ไม่ตามสามีไป  เป็นการถูกต้องแล้ว
 เด็กเล่าว่า   ก่อนเขาจะถูกแขวนคอตามคำพิพากษา  ๕  วัน      พี่ชายของเขาคือ นาย เอช เอ ติเลรัตนี ได้ทำบุญให้แก่เขา เด็กจำได้ว่า  มีการเลี้ยงพระจำนวน  ๑๐  รูป     ตอนที่ทำบุญเลี้ยงพระให้เขานี้เอง เขาบอกกับพี่ชายว่า เขาจะกลับมาเกิดอีก       เด็กบอก ดร. สตีเวนสันว่า เขาพูดกับพี่ชายว่า  จะมาเกิดเป็นลูกชายของพี่
  ตอนถูกประหารชีวิต เด็กเล่าดังนี้ 
 ก่อนการแขวนคอเขาตอนหนึ่งว่า       มีการชั่งตวงกระสอบทราย       ณ       ที่
ตะแลงแกง ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริง ก่อนประหารชีวิต ๑ วันจะต้องมีการทดสอบความเหนียวของเชือก  และความแข็งแรงของขื่อ โดยวิธีเอาทราย  ๑    กระสอบแขวนขึ้นถ่วงทดลองก่อน 
 ก่อนการแขวนคอ มีพระภิษุ ๑ รูปมาภาวนาให้เขาก่อนจะกระตุกเชือกประหาร เจ้าหน้าที่เอาถุงผ้าดำมาครอบศรีษะตอนกระตุกเชือกรัดคอ เขาคิดถึงพี่ชายของเขาคนเดียวเท่านั้น แล้วรู้สึกว่าคอของเขาถูกรัดแน่น แล้วรู้สึกว่าตัวของเขาตกลงไปกลางหลุมเพลิง     
ต่อจากนั้นเขาก็จำอะไรอะไรไม่ได้อีก  จนมารู้สึกตัวเมื่ออายุ ๒ ขวบกว่า พ่อของเขาชาตินี้ก็คือ พี่ชายของเขาในชาติก่อนนั่นเอง  
เขาบอกด้วยว่า ตอนเขาถูกประหารแขวนคอ        เขาอายุได้ ๒๓ หรือ ๒๔   ปี    เรื่องการจดจำสิ่งของได้ ของเด็กชายวิชรัตนี มีอยู่เรื่องหนึ่งควรจะเล่าก่อนจบ คือก่อนจะเกิดเรื่องฆ่าเจ้าสาว นายรัตรัน ฮามี      ได้เอาเข็มขัดหนังไปฝากไว้กับน้า   ดูเป็นลางชอบกล เมื่อนายรัตรันตายแล้ว     น้าก็เอาเข็มขัดหนังนั้นให้แก่บุตรชายของตัวใช้คาดเอว  พอเด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๖-๗ ขวบ    พบลูกพี่ลูกน้องคนนี้   เห็นเข็มขัดเข้าก็จำได้ว่าเป็นของตัวเอง
 เด็กชายวิชรัตนี บอกกับ ดร. สตีเวนสันว่าความจำชีวิตในชาติก่อน ของเขาแม้เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี จะเลือนลางไปบ้างแต่เขาจดจำเรื่องราว        ในชีวิตสุดท้ายก่อนของเขา ได้ชัดเจนกว่าชีวิตในปัจจุบันของเขาเมื่อ ๑๐ ปีก่อนนั้นเสียอีก  
  เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นการรายงายผลการวิจัย      เกี่ยวกับการระลึกชาติได้ของ ดร. สตีเวนสัน ผู้ที่สนใจในด้านการวิจัย สรุปผลในการระลุกชาติได้     จากหลายชีวิตมาเสนอท่าผู้อ่าน ๑ เรื่องในจำนวนอีกหลายเรื่อง


การระลึกชาติ*
ของ
 ด.ช. ชนัย  ชูมาลัยวงศ์

 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ   ฉบับที่  ๗๔๒๓  วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม  พ.ศ ๒๕๒๑ ได้ลงข่าวว่า  ได้พบเด็กระลึกชาติได้รายใหม่อายุเพียง  ๓  ขวบ       หนียายออกจากบ้านไปหาครอบครัวเมื่อชาติก่อน เผยความหลังชาติก่อนเป็นครู  ถูกคนร้ายยิงตาย มีลูกอยู่ ๔ คน เมียเก่าและลูกได้ยินเรื่องราวถึงกับตะลึง  เพราะรู้เรื่องชาติก่อนได้ถูกต้อง        เพื่อนเก่าเป็นตำรวจก็อัศจรรย์ใจ เมื่อเด็ก ๓ ขวบทักทายว่า จำได้ไหม  แล้วเล่าความหลังให้ฟัง
  เด็กระลึกชาติรายใหม่ที่จำความชาติปางก่อนได้ถูกต้องคือ    ด.ช. ชนัย ชูมาลัยวงศ์ เดี๋วยนี้อายุ ๑๐ ขวบ(พ.ศ ๒๕๒๑)บุตรของนายเบิ้มหรือคำรณ นางสมคิด    อยู่บ้านเลขที่ ๑๘๙ หมู่ที่ ๑ กิ่งอำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร นายเบิ้มผู้เป็นพ่อ มีอาชีพเป็นช่างตัดผม แม่ตัดเย็บเสื้อผ้า ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ พักอยู่ที่บ้านเลขที่ ๒๐   ซอยโลหิตสุข ถนนดินแดง แขวงห้วยขวาง เขตพญาไท  กทม. แต่ ด.ช ชนัย อาศัยอยู่กัยยายที่พิจิตร ชื่อนางพรม เบ็ญทอง อายุ๖๗ ปี พักอยู่ที่ ๖๐๘  หมูที่  ๑  ตำบลทับคล้อ   อำเภอตะพานหิน  จังหวัดพิจิตร กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ร.ร.วัดเขาทราย อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร  


  นางพรม        เบ็ญทอง  ผู้เป็นยาย    ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ว่า   มารู้ว่า
ด.ช.ชนัย ระลึกชาติได้ ก้เพราะ ด.ช.ชนัยได้เล่าเรื่องแต่ชาติปางก่อนให้ยายฟังว่า เมื่อชาติก่อนตัวเองเป็นครู ชื่อ “บัวไข หล่อนาค”  สอนประจำอยู่ที่   โรงเรียนท่าบ่อ  ตำบลบางหว้า อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร จากนั้น ด.ช.ชนัย ยังได้เล่าว่า    แต่เดิมตนมี พ่อชื่อ นาย เขียน แม่ชื่อ นางยวง แล้วยังมีภรรยาชื่อ นางสวน มีลูกกับนางสวน ๕ คนด้วยกัน    เป็นหญิงสาม ชายสอง คนโตชื่อ น.ส.บรรจง หรือติ๋ม คนที่สองชื่อ น.ส.เบญจา หรือต๋อย ทั้งสองคนนี้เป็นฝาแฝด คนที่ สามชื่อ นายณรงค์ คนที่ สี่ชื่อ นายบุญเทียม และคนสุดท้องชื่อ น.ส.น้ำค้าง    
 ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์ หรือนายบัวไข หล่อนาค   เมื่อชาติก่อน  ได้เล่าเหตุการณ์ที่ตนต้องตายว่า   ขณะนั้นภรรยาของตนในชาติก่อน คือ นางสวน     ได้ตั้งท้องลูกสาวคนเล็ก คือ  น.ส. น้ำค้างได้ ๓ เดือน      นายบัวไขได้ขี่จักรยานจะไปสอนหนังสือที่โรงเรียนได้ถูกคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นใครลอบยิงข้างหลัง     ซึ่งแผลเป็นรอยกระสุนยังติดตัวมาถึงชาตินี้ โดยถูกยิงจากท้ายทอยทะลุหน้าผาก 
  ฝ่ายผู้เป็นยายคือ นางพรม      เมื่อรับฟังเรื่องราวจากหลานชาย       วัย ๓ ขวบ
ในตอนแรกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง    อยู่มาวันหนึ่ง ด.ช. ชนัย ได้พยายามหนีออกจากบ้านขึ้นรถประจำทางจาก     ตำบลทับคล้อ   อำเภอตะพานหิน    ไปที่อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เพื่อเยี่ยมครอบครัวของ    นางสวนภรรยาในชาติก่อน  นางพรมจึงต้องตามไปด้วย เมื่อพบกันจึงได้เล่าความหลังให้ฟัง      ก็ปรากฏว่าฝ่ายครอบครัวของ นางสวน  เชื่อสนิทว่า ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์    คือ   นายบัวไขในชาติก่อน  นอกจากนี้  ด.ช ชนัย  ยังสอบถามนางสวนว่าของมีค่าที่ให้เก็บไว้ในชาติก่อนนั้นยังอยู่ดีหรือ ซึ่ง ด.ช. ชนัย  หมายถึงปืนสองกระบอกพร้อมกับบอกที่ซ่อนของ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวเมื่อได้รับคำบอกเล่าถึงกับ ตะลึง
 ผู้สื่อข่าวไทยรัฐรายงานว่า เมื่อ ด.ช.ชนัยได้พบหน้ากับ จ.ส.ต สนาน เจ้าหน้าที่ตำรวจแห่ง ส.ภ.อ.เมืองพิจิตร       ซึ่งเดิมจ.ส.ต.สนานเป็นเพื่อนสนิทกับนายบัวไข ทันทีที่พบหน้า ด.ช ชนัยก็เอ่ยปากทักว่า
 “ เฮ้ย หนานยังอยู่สบายดีหรือ จำเราได้ไหม เราบัวไขเพื่อนเก่าของ
นายไงล่ะ”
จ.ส.ต.สนานถึงกับตะลึงงันไป     เช่นกัน     นึกไม่ถึงว่า      เด็กอายุ ๓ ขวบ จะ
เป็นเพื่อนของตน เมื่อสอบถามเรื่องความหลังซึ่งกันและกัน    ด.ช. ชนัยก็เล่าความหลังได้ถูกต้องทุกอย่าง และเมื่อถามถึงอาหารการกินที่ชอบ ด.ช.ชนัย ก็บอกว่า
  “ ชอบไข่ดาวกับข้าวหลาม”   
   ซึ่งทุกคนยอมรับว่า      นายบัวไข    เมื่อชาติก่อน   ชอบอาหารเช่นนั้นจริง ๆ
และแม้แต่ในชาตินี้ ด.ช.ชนัยก็ยังชอบอาหารชนิดนี้นอกจากนี้ จ.ส.ต สนาน รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวชองนางสวนทุกคนรวมทั้งลูก ๆ ของนายบัวไขในชาติก่อน   ต่างก็ยอมรับว่า  ด. ช. ชนัยผู้นี้ คือ พ่อของตนในชาติก่อนจริง และปัจจุบัน ด.ช.ชนัย      ยังไปมาหาสู่กับครอบครัวนี้โดยสนิทสนม
 ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ถาม ด.ช.ชนัย ซึ่งปัจจุบันอายุ สิบขวบในทำนองกระเซ้าว่า
“ถ้ามีคนมาสู่ขอนางสวนภรรยาเก่าในชาติก่อนของ ด.ช.ชนัยจะว่ายังไง”
ด.ช. ชนัย      ไม่ตอบ    แต่แสดงอาการ  หึงหวงอย่างเห็นได้ชัด   และไม่พอใจ
ต่อคำถามนี้มาก แต่ได้หัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกไว้  
  เรื่องที่เล่ามาข้างบนนี้                     ถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้มีโอกาสไปสอบสวน
พบปะกับครอบครัวของ ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์   ทั้งในปัจจุบันและในในชาติก่อนด้วยตนเองก็ดี แต่บังเอิญมีสมาชิกของชมรมกฏแห่งกรรม       คือ     คุณประสิทธิ์   การุณยวณิช ผู้จัดการ
สหธนาคาร จำกัด สาขาจังหวัดชลบุรี  และคุณสงบ แจ่มพัฒน์ หรือ     “อนามิส” แห่งหนังสือ รายสัปดาห์ ‘บางกอก”ทั้งสองท่านนี้ได้เดินทางไปจังหวัดพิจิตรด้วยรถยนต์ส่วนตัว   ของคุณประสิทธ์พร้อมด้วยคนขับ เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๑    ได้ไปพบนางพรม เบ็ญทอง ยาย และ ด.ช ชนัย พบพ่อ แม่ นายเขียนและนางยวง  และภรรยา-นางสวนและลูก ๆ ในชาติก่อนได้สัมภาษณ์อย่างละเอียดลออได้ความตรงกัน และ  ยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมยืนยันอีกหลายอย่าง แสดงว่า  ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์ นั้นเป็นคุณครูบัวไข  หล่อนาค มาเกิดใหม่แน่นอน
 ต่อไปนี้จะขอนำข้อความที่น่าสนใจ   ที่คุณประสิทธิ์      การุณยวณิช      ได้ไปสัมภาษณ์ ยาย,พ่อ ,แม่ และภรรยาในชาติก่อนมาเพิ่มเติมอีกสักหน่อย
 ตอนที่   นางพรม    เบ็ญทอง-ยาย   ได้พาเด็กชาย   ชนัย       ไปพบ พ่อ-แม่ ใน
ชาติก่อน  ด.ช ชนัยเป็นผู้บอกนำทาง เมื่อไปทางถนนใหญ่แล้ว  ก็ชี้ ให้เข้าตรอกซอยจากถนนใหญ่อีกไกลกว่าจะถึงบ้านพ่อแม่เขา เมื่อไปถึงเขาก็เดินนำเข้าไปในบ้าน   ซึ่งมีคนนั่งอยู่หลายคน  ทั้งคนอายุมากและเด็ก ๆ ด.ช.ชนัยก็ตรงเข้าไปกราบชายอายุมากคนหนึ่ง และหญิงอีกคนหนึ่งแล้วก็รองไห้ พูดว่า 
“พ่อจ๋า แม่จ๋า  ลูกมาหา ลูกคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่มาก”
ชายหญิง     มีอายุทั้งสองที่เด็กอ้าง      ว่าเป็นพ่อแม่ในชาติก่อน         ก็ตะลึงงง
และสงสัย เพราะจู่ ๆ ไม่ทันรู้ตัวก็มีเด็กเข้ามากราบแล้วร้องไห้เรียก    พ่อแม่   ทั้งที่ไม่เคยเห็นเด็กและยายมาก่อน ส่วนยายเองก็ตื่นเต้น      เพราะว่าที่นั่นมีผู้ใหญ่อยู่บนเรือนหลายคนทำไมเด็กอายุแค่นั้น  (๓ ขวบ)       จึงไปเจาะจงว่าคนนั้นคนนี้เป็นพ่อเป็นแม่มาแต่ก่อน  เด็กบอกว่าเป็นครูบัวไขมาเกิด    ผู้ใหญ่ทั้งสองยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นครูบัวไขลูกของตัวมาเกิด       แต่เมื่อเห็นแผลเป็นเหมือนครูบัวไขลูกชาย           ที่ถูกยิงจากท้ายทอยทะลุออกหน้าผาก     ก็ชักจะมีน้ำหนักพอที่จะเชื่อ
 ตอนที่ยายได้พา  ด.ช. ชนัย     ไปพบพ่อแม่อีกครั้งหนึ่งตามนัด  มีผู้คนทั้งหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่     นั่งคอยอยู่ในบ้านก่อนแล้ว          เพื่อเป็นพยานช่วยกันพิสูจน์เรื่องครูบัวไขกลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่    ญาติผู้หนึ่งได้ถามขึ้นว่า
 “  เราอ้างว่าเป็นครูบัวไขน่ะ จำเมียของเราได้ไหมว่าชื่ออะไร
 “ ด.ช.ชนัยก็หันไปหันไปมองเมียแล้วตอบทันทีว่า”
“ ชื่อสวนนะซิ”
เสียงพึมพำเกิดขึ้น             ต่างก็แปลกใจที่เด็กบอกได้ถูกต้อง     ต่อมา แม่เขาก็
นำของใช้ของธรรมดาหลายอย่างปนกันมาให้ดูแล้วบอกว่า
“ อะไรเป็นของลูกเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ยังจำได้ไหมหยิบให้แม่ดูซิ”  เด็กก็หยิบดูแล้วว่า “นี่ก็ของผม นี่ไม่ใช่ของผม โน่นก็เป็นของผม’ 
เสร็จแล้วเขาก็จูงมือแม่เขาเดินดูในบ้าน  แล้วก็ชี้ว่า
“ อ้ายตรงนี้ของ ๆ ผมตั้งอยู่ที่นี่มันหายไปไหน ตรงโน้นของผมตั้งอยู่หายไปไหน หนังสือของผมตั้งอยู่ในตู้มันหายไปไหนหมด”
เมียในชาติก่อนเขาก็ตอบว่า            “ เมื่อเจ้าของไม่อยู่ฉันก็ให้เขาไปซิ จะได้
ประโยชน์กับผู้อื่นต่อไป”
 เมื่อ ด.ช.ชนัยได้ยินเช่นนั้นก็พูดว่า
 “เมื่อให้ไปแล้วก็แล้วไปนะ”
ต่อมาแม่เขาก็ถามขึ้นอีกว่า
“ แล้วอะไรของลูกที่นึกออกว่ายังมีอะไรบ้าง”
เด็กก็บอกว่า “  พระของผมยังมีอีกพวงหนึ่ง” 
แม่ถามว่า “ พระของลูกมีอยู่กี่องค์”
 เด็กบอกว่า “พระของผมมีอยู่ ๓ องค์ เป็นพระเครื่องนางพญา” 
 คราวนี้พวกที่ไม่รู้เรื่องมาก่อน แอบกระซิบถามเมียเมื่อชาติก่อน  ว่าจริงไหมที่เขาพูด  เมียเขาก็บอกว่าเป็นความจริงทุกอย่าง
 คราวนี้มีผู้ถามว่า   “ ก่อนที่ครูจะถูกยิงตายวันนั้น    ครูทำอะไรบ้างพอจะนึกออกไหม” 
ด.ช. ชนัย บอกว่า
“ เช้าขึ้นวันนั้นผมก็ซักผ้าก่อน  แล้วผมก็ถอดพระที่ห้อยคอไว้ที่โต๊ะแล้วก็ไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็มากินข้าวแล้วก็แต่งตัวถีบจักรยานไป
โรงเรียน  วันนั้นผมลืมพระไว้  ไม่ได้ห้อยคอติดตัวไปด้วย  ปืนสั้นที่เคยพกไป  วันที่ผมถูกยิงตายก็คงไม่มีอะไรเหลือ”
 พ่อในชาติก่อนของเด็กได้ถามขึ้นว่า 
“ ปืนอะไรที่มีลูก”  
เด็กก็ตอบว่า  “ ก็ปืนสั้น ปืนยาว อย่างละกระบอก” 
พ่อแม่และเมียต่างก็ยอมรับว่าจริง  ตอนนั้นทั้งพ่อ แม่ และเมีย และ
ญาติต่างก็เช็ดน้ำตา  บางคนก็ก้มหน้าสะอึกสะอื้น 
ญาติที่สนใจถามว่า
“ที่หนูอ้างว่าเป็นครูบัวไขถูกยิงตายกลับชาติมาเกิด  คงจะรู้เรื่องวันที่ถูกยิงได้ดี  ถูกยิงเวลาเช้าไปโรงเรียน  หรือบ่ายกลับจากโรงเรียน”
เด็กตอบว่า “เขายิงเวลาที่ฉันถีบจักรยานที่จะไปโรงเรียน” 
 แล้วมีผู้ถามต่อไปว่า “ เมื่อครูตายเเล้วเขาเอาศพครูไปเผาที่วัดไหน”  
 เด็กตอบว่า  “ เขาก็เอาไปเผาที่วัดตะพานหินนะซี
ต่อจากนั้นแม่เขาก็ไปหยิบเข็มขัด  ที่เป็นช่องสำหรับใส่ลูกกระสุนปืนคาดเอว  - ๖ สาย ทำเหมือนจะเสี่ยงทายแล้วพูดว่า
  เข็มขัดกระสุนเหล่านี้  หากลูกจำได้ว่าอันไหนเป็นของลูกก็หยิบขึ้นมา       ถ้าหยิบไม่ถูกจำไม่ได้ก็เป็นอันว่าไม่ใช่ลูกของแม่”
ตอนนั้นยายของเด็กรู้สึกตื่นเต้นใจคอไม่สบาย         เพราะกลัวว่าหลานชายจะหยิบผิดจำไม่ได้  และกลัวเขาจะหาว่ายายพาหลานมาหลอกลวงเขา   ทำให้คิดวุ่นวาย  ใจเต้นคอยจ้องตาดูว่าเด็กจะจับถูกหรือผิด  เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่  แต่เมื่อเด็กมองดูแล้วก็ไม่ได้ชักช้าเสียเวลา             หยิบเข็มขัดสายหนึ่งยังมีลูกกระสุนปืนเสียบอยู่  ๓ ลูก ออกมาชูขึ้นบอกว่า
 “แม่  เข็มขัดลูกปืนเช่นนี้เป็นของฉัน”
เมื่อผู้เป็นแม่ในชาติก่อนเห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้โฮ  และพวกญาติที่นั่นก็ ร้องไห้ตามไปหลายคน  ส่วนยายที่ใจกำลังเต้นตุกตักอยู่นั่นก็ค่อยโล่งอกหายใจทั่วท้อง   เมื่อพ่อแม่เขารับว่าถูกต้องแล้ว  เป็นครูบัวไขมาเกิดแน่  แล้วแม่เขาก็คร่ำครวญว่า 
 “พุธโธ่เอ๋ย  ลูกของแม่  ญาติของเราก็มีถมเถไป       ทำไมลูกไม่มาเกิดในสายญาติของเราละลูก  ทำไมต้องไปเกิดทางไกลอย่างนี้”
ด.ช. ชนัย  ได้ตอบว่า  “ เราจะเลือกเกิดไม่ได้หรอกแม่              แล้วแต่ผู้จัดการ
บันดาลให้เราเกิด  เราขัดคำสั่งเขาไม่ได้  เขาสั่งให้เราเกิดที่ไหนเราก็ต้องเกิดที่นั่น  ถ้าหลบไปเกิดที่อื่น  ไม่ช้าเขาก็เอาตัวกลับไปอีก  เราก็ต้องรับโทษ”
ต่อจากนั้น  ก็ได้ยินเสียงเมียในชาติก่อนเขาพูด  อย่างเยาะๆว่า
“เกิดมาชาตินี้จะเจ้าชู้มีเมียมากอีกไหม”
เด็กได้ตอบว่า  “ ฉันเข็ดแล้วไม่เอาอีกแล้ว”  แล้วเล่าให้เมียฟังว่า
“เขาบังคับทำโทษให้ฉันแก้ผ็าหมดเหลือแต่ตัวเปล่าล่อนจ้อน   เขาพาไปที่สระบัวกว้างใหญ่  เขาให้ฉันเดินลัดบุกป่าฝ่าดงบัว  เหมือนทำโทษที่ฉันเจ้าชู้มีเมียมาก  ฉันได้รับความลำบากมาก  กว่าจะเดินฝ่าดงบัวออกมาได้      เมื่อพ้นแล้วเขาก็ให้ใส่เสื้อผ้า  มีคนมาประกบคุมตัวอยู่สองข้าง  พาฉันให้เดินมาพักหนึ่งแล้วเขาก็บอกว่า  ให้ไปเกิดได้เขาส่งได้แค่นี้  ฉันมาเกิดตามที่เขาสั่งที่เขาเกณฑ์ให้เกิด     แล้วฉันก็หมดความรู้สึก
 อีกตอนหนึ่งที่นับว่าสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง  วิญญาณ    คือ     การที่  คุณประสิทธิ์    การุณยวาณิช  ได้สัมภาษณ์   ด.ช. ชนัย  ซึ่งข้าพเจ้าได้คัดเอามาบางตอน
  ประสิทธิ์  “ วันที่หนูก่อนจะถูกยิงนั้นมีความรู้สึกอย่างไรบ้างที่ผิดปกติกว่าวันธรรมดา”
 ชนัย  “ วันที่ผมตาย ผมลืม ไม่ได้แขวนพระติดตัวไปด้วย     ธรรมดาผมไม่เคยลืม  ปืนสั้นที่ผมเคยพกก็ไม่ได้พก         เมื่ออาบน้ำกินข้าวเสร็จก็รีบแต่งตัว     คว้าถีบจักรยานถีบออกจากบ้าน      เคราะห์ดีครับที่ผมไม่ได้ห้อยพระและพกปืนไป   ไม่เช่นนั้นเมื่อผมถูกยิงตาย  มันคงเก็บเอาไปหมด “
  ประสิทธิ์         “ แล้วหนูรู้จักชื่อเสียงตัวคนร้ายที่ยิงหนูไหม  แล้วเวลาตายรู้สึกอย่างไรบ้าง  ใจวูบไปเลย  หรือเจ็บปวดสาหัสก่อนจะตาย  หรือเหมือนหลับไปเฉย ๆ “
  ชนัย     “ไม่หรอกครับ  คนยิงไม่รู้จักว่าเป็นใคร  เพราะเขายิงผมข้างหลัง  ไม่รู้ตัวเวลาตาย   รู้สึกวิญญาณผมออกจากร่างแล้ว      ผมยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน  ขายังสั่นกระดิก ๆ เลือดออกทางแผล  ถูกยิงตรงหัวใหลนองถนน”
  ประสิทธิ์       “  เมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้วล่องลิยไปอยู่ที่ไหน  พบปะอะไรบ้าง  หนูยังจำได้ไหม  ก่อนจะกลับมาเกิดใหม่  มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง”
  ชนัย  “ วิญญาณผมเร่ร่อนไปในที่ต่าง ๆ วนเวียนไปหลายแห่ง  จะไปไหนบ้างเวลานี้ผมจำไม่ได้   ผมลืมไปหมดแล้วครับ”
  ตามที่ ด.ช ชนัย  อ้างว่าเมื่อถูกยิงตายอยู่บนถนน  วิญญาณได้ออกจากร่างแล้ว  ยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน      ขายังสั่นริกริก ๆ เลือดออกทางแผล ที่ถูกยิงตรงหัวไหลนองถนน  นี้ตรงกับการศึกษาค้นค้วาของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่  เกี่วยกับการตายแล้วรู้สึกอย่างไร  โดยแพทย์รับรองว่าตายแน่  เพราะหัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ  และกระแสคลื่นสมองก็ไม่มี  และภายหลังได้ฟื้นขึ้นมาอีก  กลับมีชีวิตต่อไปได้  แล้วได้เล่าเรื่องต่าง ๆ  ที่ได้ปรากฏและพบเห็นขณะที่วิญญาณได้ออกจากร่างไปนั้น  นักวิทยาศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายแพทย์  ที่ควรจะกล่าวชื่อ   คือ  แพทย์หญิงเอลิซาเบธ  คืบเลอร์-รอสส์ (Dr. elisabeth kubler- ross) ซึ่งได้เขียนลงในหนังสือเรื่อง  ความตายและกำลังตาย  (On Death  and  Dying) และอีกคนหนึ่ง คือ ดร. เรมอนย์ เอ มูดี (Dr. Raymond A Moody Jr)     ท่านผู้นี้เป็น ดร. ทางปรัชญา  และภายหลังได้เรียนต่อทางแพทย์  จนได้รับ  M.D. มหาวิทยาลัย    เวอย์จิเนีย  สหรัฐอเมริกา ท่านผู้นี้ได้กล่าวถึง ชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ (Life After Life)       ในหนังสือเรื่อง  การคำนึงถึงเรื่องชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ (Reflection on life After  Life)   ได้ศึกษามานานถึง ๑๒ ปี  ทั้งสองท่านนี้ได้พบว่ามีหลายต่อหลายรายด้วยกัน  มีความรู้ว่าได้ล่องลอย ออกจากร่าง และมองเห็นตัวเอง ทั้งได้ยินผู้คน ที่มาแวดล้อมพูดจากันทุกอย่าง  กระทำการแก้ไขเพื่อให้ฟื้น        บางรายลอยไปในอุโมงค์มืดตื้อแล้วไปสู่ที่สว่างสวยงาม     พบเพื่อนฝูงคนที่ได้ตายไปแล้วมาต้อนรับ  และชวนอยู่ด้วย บางรายเล่าว่า  ความตายเป็นสุขและความหวัง     และไม่มีสักรายที่จะกลัวว่าจะตายอีก 
  นอกจากสองท่านนี้ยังมีอีกท่านหนึ่ง ชื่อ คาร์ลิส   โอซีส  (karlis  osis)  เป็นนักจิตวิทยา  สมาชิกของชมรมค้นคว้าทางจิตของอเมริกาในกรุงนิวยอร์ค     ท่านผู้นี้ได้สัมภาษณ์นายแพทย์จำนวน ๘๗๗ คน ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการรักษาพยาบาลดูแลคนป่วยหนัก   ที่ กำลังจะสิ้นชีวิต  คนป่วยเหล่านี้มากต่อมากที่เล่า  มีคนมาคอยรับจะเอาชีวิตไป  ทั้งนี้ตรงกับของเราที่ว่ามียมฑูตมาคอยรับเอาวิญญาณไป  นี่เฉพาะผู้ที่จะสิ้นชีวิตโดยสิ้นอายุขัย   ไม่เกี่วยผู้ที่ตายโดยยังไม่ถึงอายุขัย  เช่น พวกตายโหงอย่างครูบัวไข  หล่อนาค  เป็นต้น    ทางพุทธศาสนาเราก็กล่าวว่า  เมื่อสิ้นใจเกิดใหม่ทันที  เป็นโอปาติกะ       ซึ่งจะไปสู่อบายภูมิ    หรือสวรรค์ภูมิขึ้นอยู่กับกรรมของตนที่ได้สร้างไว้ 
 การระลึกชาติของ   ด.ช. ชนัย    ชูมาลัยวงศ์    นับว่าเป็นการพิสูจน์เรื่อง  “ การเวียนว่ายตายเกิด “    ค่อนข้างจะสมบูรณ์ดีมาก  เพราะได้รับการยืนยันจากหลายแหล่งด้วยกัย  คือ 
  ๑)  จากปากคำของ  ด.ช. ชนัย  ชูมาลัยวงศ์  เอง
 ๒)  จาก นางพรม  เบ็ญทอง  ยายของเด็ก
  ๓)  จาก นายเขียน และนางยวง หล่อนาค  และพ่อ แม่ของเด็กในชาติก่อน
 ๔)  จาก น.ส. ติ๋ม และต๋อย  หรือ น.ส. บรรจง     และ น.ส. เบ็ญจา    หล่อนาค  บุตรสาวฝาแฝดของครูบัวไข
  ๗)  จากทรัพย์สินของใช้ของครูบัวไข หลายอย่าง      ซึ่ง ด.ช. ชนัย จำได้อย่างแม่นยำ
 ๘)  จากแผลเป็นที่ถูกยิงตายจากท้ายทอย        ทะลุออกทางหน้าผาก  ซึ่งติดตัว ด.ช. ชนัย ในปัจจุบันนี้
 

วิญญาณพยาบาท
ณ  หมู่บ้านตำบลหนึ่ง                   อันตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของทะเลสาบ  ใน
ท้องที่ อ.สทิงพระ  จ.สงขลา เมื่อประมาณ  ๔๕ ปี ล่วงมาแล้ว  ได้มีเหตุการณ์ซึ่งไม่น่าคาดฝันบังเกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่ง  ณ หมู่บ้านแห่งนี้
 เรื่องมีอยู่ว่า  นายขวัญแก้ว  สุบินรัตน์  ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว  วันหนึ่งได้ล้มป่วยลงและได้ป่วยมาหลายวันมีอาการค่อนข้างน่าวิตก  มีแต่ลูกๆเท่านั้นคอยพยาบาลอยู่  เพราะเมียของนายขวัญเเก้ว คือ นางสั้นเนี่ยว  ไปอยู่ ณ ที่อื่น  ดังนั้นลูกจึงให้จดหมายไปถึงแม่  เพื่อมาช่วยพยาบาลพ่อ  แต่นางสั้นเนี่ยวก็หามาไม่  คงมีเรื่องไม่พอใจกับสามีอยู่จึงไม่ยอมมา จนในที่สุดเมื่อนายขวัญแก้วป่วยหนักถึงแก่กรรมลง แม้กระนั้นนางสั้นเนี่ยวก็ไม่ยอมมาในงานศพ   แม้แต่วันเผาก็ไม่มา   แต่เมื่อถึงวันทำบุญตักบาตร      นางสั้นเนี่ยวจึงมาในงาน
 ในวันทำบุญตักบาตร  ซึ่งจัดทำบุญกันขึ้นที่บ้านของผู้ตายนั้นเอง  เมื่อพระสงฆ์ที่นิมนต์มาในงาน  กำลังสวดมนต์ถึงบทพาหุง  ญาติพี่น้องและชาวบ้านซึ่งมาร่วมทำบุญในงานก็กำลังเตรียมตัวใส่บาตร  ตามธรรมเนียมที่นิยมกันว่าเมื่อพระสวดถึงบทพาหุงก็ให้เจ้าภาพหรือผู้มาร่วมงานใส่บาตร  แต่ในวันนั้นทุกคนต่างก็รอให้นางสั้นเนี่ยวซึ่งเป็นเจ้าภาพใส่บาตรก่อน  ทันใดนั้นเอง  เหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น  นางลัดเนี่ยวซึ่งเป็นลูกสาวนายขวัญแก้วและนางสั้นเนี่ยว  ได้ลุกขึ้นทำผ้านุ่งถกเขมรหยักรั้งเข้ามาทำท่าทางเหมือนผู้ชาย  แล้วร้องขึ้นว่า  “ อีสั้นเนี่ยว  มึงอย่าใส่บาตรให้กู  กูไม่กินของมึง  มึงอย่าใส่  อย่าใส”  แต่คนที่มาในงานซึ่งไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็บอกให้ใส่เถิด  ครั้นนางสั้นเนี่ยวตรงมาจะใส่บาตรอีก  นางลัดเนี่ยวก็ตรงไปหานางสั้นเนี่ยวเงื้อมือจะตบพร้อมสำทับขึ้นว่า  “ อีสั้นเนี่ยวมึงอย่าใส่บาตร  ถ้าใส่กูตบ”  นางสั้นเนี่ยวจึงชะงักมือยืนงง
 ในขณะนั้น  นางดวม พาณิช  ซึ่งเป็นญาติของผู้ตาย  เห็นเหตุการณ์ผิดปกติเช่นนั้น  คิดว่า  คงเป็นวิญญาณของผู้ตายมาสิงจึงร้องปลอบไปว่า  “ อย่าทำอย่างนั้นเลยพี่
อายคนเขา”
  “ เออ  อีสั้นเนี่ยว กูไม่ให้ใส่บาตร  กูไม่กินของมัน  ยังขืนใส่กูตบจริง  กูเสียใจน้องดวม”  นางลัดเนี่ยวซึ่งถูกวิญญาณของพ่อมาสิง  พูดพลางร้องไห้พลางเ พราะความน้อยใจ
  นางดวมซึ่งเป็นญาติลูกผู้พี่ผู้น้องกับผู้ตายก็สลดใจไปด้วย      จึงพูดขึ้นว่า “ ไม่กินของพี่สาวก็กินของลูกหลานเสีย”
 “ เออ  ของลูกของหลาน  กูกิน  แต่ของอีสั้นเนี่ยว อย่าใส่บาตรนะ       กูไม่กินของมัน”  นางลัดเนี่ยวตอบ
  เมื่อนางสั้นเนี่ยวงดใส่บาตร  เหตุการณ์ก็สงบ  ทั้งชาวบ้านและพระสงฆ์ต่างก็งงงันในเหตุการณ์นั้น ไปตามๆ กัน  
 ต่อมา  หลังจากวันเกิดเหตุการณ์แปลกนั้นมาราว  ๒ ปี  นางสั้นเนี่ยวก็ล้มป่วยลงด้วยโรคอย่างหนึ่ง  อาการก็ทรุดหนักลงๆ และเหตุการณ์ซึ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก  คือนางลัดเนี่ยว ซึ่งกำลังพยาบาลอยู่กลับหัวเราะ  พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความเย้ยหยันว่า     “เป็นไร  อีสั้นเนี่ยว  มึงตายเหมือนกัน  ไม่ใช่ตายแต่กู  มึงต้องตายสมกับที่มึงละทิ้งกูมึงต้องตาย       ต้องตาย  อีสั้นเนี่ยว  กูยังเจ็บใจมึงอยู่ไม่หาย”
  และนอกจากนี้แล้วก็ยังพูดจาถากถางต่างๆ นานา  ใครจะพูดจาขอร้องอย่างไรก็ไม่ฟังเสียง  จนกระทั่งมีคนไปตาม นางดวม ผู้เป็นญาติสนิทมาพูดจาขอร้อง     เหตุการณ์จึงสงบลง
 เรื่องนี้  เป็นเรื่องจริงที่โยมบิดาของผู้เขียนเล่าให้ฟัง    โดยบันทึกเหตุการณ์เอาไว้เพราะผู้ตายก็เป็นญาติกับโยมบิดาของผู้เขียน  และเป็นเรื่องค่อนข้างสะเทือนใจ         แม้จะเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ  ๔๕ ปี  มาแล้วก็ตาม   และผู้เขียนยังได้ไปถามนางดวม    ซึ่งเป็นอาของผู้เขียนเพิ่มเติม   ก็ได้รับการยืนยันตรงกับที่โยมบิดาของผู้เขียนได้เล่าให้ทราบ
 คนเราทุกคน  เมื่อตายแล้วก็ต้องเกิดในทันทีทันใด      เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น  แต่จะไปเกิดอยู่ภูมิใด  ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของตนที่ทำเอาไว้         อย่างกรณีของนายขวัญแก้วนี้ สันนิษฐานว่า อาจจะไปเกิดในภูมิของเทวดาหรือภูมิของอสุรกาย (ผี)    ภูมิใดภูมิหนึ่งซึ่งเป็นภูมิที่เป็นอทิสสมานกาย  คือกายไม่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาธรรมดา  และเป็นผู้ที่สามารถเข้าสิงในร่างกายของมนุษย์ได้
 อนึ่ง  เรื่องนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า            ผู้ที่ตายไปแล้วย่อมสามารถรู้เห็น  และสามารถรับกุศลผลทานที่ญาติทำและอุทิศให้จากโลกนี้          และข้อที่เราพึงสังวรอยู่ประการหนึ่งเกี่ยวกับคนที่เจ็บใกล้จะตายคือ  อย่าทำสิ่งใดให้เป็นที่ขัดใจของผู้นั้น        เพราะจะทำให้วิญญาณของผู้นั้นเกิดความไม่พอใจ  และผูกพยาบาทขึ้นได้      แม้จะไปเกิดในภพใหม่แล้วก็ตาม
วิญญาณห่วงหลาน
              “เณร, แม่เฒ่าได้ตายไปแล้ว       แต่แม่เฒ่ายังมีความกังวลใจอยู่  จะไปมีความห่วงใยในอีสาวกุหลาบอยู่  จะไปเกิด  (ในภพอื่น)        ก็ไม่ได้  จึงได้ไปพาเณรมาปรึกษาเรื่องสมบัติที่แม่เฒ่าได้แบ่งไว้ให้ลูกทั้ง ๔ คน คนละส่วน      แต่อีกส่วนหนึ่งแม่เฒ่าให้ยกอีกุหลาบมัน  เพราะเป็นเด็กกำพร้าแม่มาแต่เล็ก…”
 เริองนี้   เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น   ณ บ้านชะแล้         ต.ชะแล้  อ.เมือง  จ.สงขลา  เมื่อเดือนธันวาคม    ๒๕๒๒  ซึ่งเล่าอัดเทป  โดยพระภิกษุ ผู้อยู่ในเหตุการณ์  ซึ่งอยู่วัดภูตบรรพต (เขาผี)  ต. ชะแล้ อ.เมือง จ.สงขลา  และพระครูสัมพิพัฒนวิริยาจารย์  (พัลลพ วลฺลโภ)      แห่งวัดราชผาติการาม  กรุงเทพฯ  ได้เอื้อเฟื้อส่งเทปเรื่องนี้ให้ผู้เขียน  เมื่อวันที่  ๑๙ ธันวาคม  ๒๕๒๒

เรื่องมันแปลก      ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้           แต่เป็นเรื่องจริงซึ่งเกิดขึ้น
แล้ว  เมื่อเดือนธันวามค ๒๕๒๒  เรื่องมีอยู่
นางขุ้ย   (ไม่ทราบนามสกุล)  อยู่บ้านชะแล้  หมู่ที่ ๕ ต.ชะแล้ อ.เมือง จ.สงขลา อายุประมาณ ๗๕ ปี ได้ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคอะไรไม่ปรากฎ   เมื่อต้นเดือนธันวาคม ๒๕๒๒  ซึ่งเป็นเดือนที่ฝนกำลังตกชุกในภาคใต้  น้ำก็กำลังท่วม     ณ บริเวณหมู่บ้านแห่งนั้น ซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งทะเลสาบสงขลา ครั้นจะเก็บศพไว้บำเพ็ญ  ที่บ้านตามประเพณีที่นิยมกันในถิ่นนั้นก็ไม่สะดวกเพราะน้ำท่วม  เรือแพก็ขัดข้อง     จะนิมนต์พระไปสวดพระอภิธรรมก็ไม่อาจจะไปได้  ลูกหลานและญาติพี่น้องจึงได้ตกลงกัน  ให้เคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดชะแล้  อันเป็นวัดประจำหมู่บ้านแห่งนั้น
             เมื่อลงมติเห็นพร้อมกันแล้ว  ก็ได้เคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดชะแล้   ทำพิธีสวดอยู่ ๕  คืน จนกระทั่งถึงวันกำหนดเผา ญาติพี่น้องก็มาเผาศพนางขุ้ยครั้งนี้โดยพร้อมหน้าตากัน โดยทำพิธีเผาที่ป่าช้าประจำหมู่บ้านแห่งนั้น
          เนื่องจากนางขุ้ยเป็นคนที่เกิดที่บ้านชะแล้นี้เอง      และมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันถึง ๑๒ คน  แต่ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ๑๑ คน รวมทั้งนางขุ้ยนี้ด้วย     ที่ยังมีชีวิตอยู่เพียง ๑ คน นางขุ้ยจึงมีลูกหลายมากเมื่อลูกหลานและญาติพี่น้อง ทั้งที่อยู่ใกล้และ ไกลมาพร้อมเพรียงกันแล้ว จึงทำให้งานศพนางขุ้ยเป็นงานใหญ่มากงานหนึ่งในตำบลนี้
 ในงานนี้  ญาติพี่น้องได้รวมความเห็นกันว่า  จะให้หลานชายนางขุ้ย  ผู้เป็นลูกของลูกสาวคนสุดท้องของนางขุ้ยเองบวชหน้าศพ  เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้นางขุ้ย   ผู้เป็นแม่เฒ่า (ยาย)  ดังนั้น  ญาติพี่น้องจึงได้ให้นายจีน อายุ  ๑๘ ปี  ซึ่งเป็นบุตรของนางเป็ด     ได้บวชหน้าศพ
  เมื่อตกลง  กันแล้ว   ญาติพี่น้องก็ไปจัดซื้อเครื่องบวชมาพร้อม       แล้วนิมนต์พระอุปัชฌาย์มาบวชที่วัดชะแล้  โดยบวชเป็นสามเณร  เมื่อบวชแล้ว       รุ่งขึ้นก็เคลื่อนศพไปป่าช้าเพื่อเผาตามธรรมเนียมในชนบท  โดยได้นิมนต์พระจากวัดต่างๆ มาสวด  มาติกาบังสุกุลด้วย  งานฌาปนกิจศพก็เป็นไปโดยเรียบร้อย  ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น
 แต่หลังจากที่เผาศพแล้ว  ก็มีเรื่องซึ่งไม่น่าคาดฝันเกิดขึ้นกับสามเณรบวชใหม่  เพราะมีต้นเหตุมาจากพินัยกรรมของนางขุ้ยเอง คือ
เมื่อประมาณ ๘ ปี              ที่ล่วงมานี้       นางขุ้ยได้เอาหลานสาวมาเลี้ยงไว้คน
หนึ่ง  ชื่อ กุหลาบ  ซึ่งเป็นลูกของลูกชายคนโตของนางขุ้ย         โดยเอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่อายุ  ๘ ขวบ    จนเดี๋ยวนี้มีอายุได้ ๑๕ ปี  นางขุ้ยเรียกหลานสาวคนนี้ว่า        “อี่สาว” เป็นประเพณีการเรียกชื่อหลานของคนในถิ่นนี้  แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า  กุหลาบ  ตามชื่อจริงกุหลาบเป็นเด็กดี   มีความกตัญญูกตเวที   แต่เป็นเด็กกำพร้าแม่มาตั้งแต่อายุได้  ๓  ขวบ       แล้วนายหิ้มผู้เป็นพ่อก็มีเมียใหม่  ครั้นจะให้อยู่ที่บ้านด้วยกันก็เกรงว่าจะเกิดขัดใจกับเเม่เลี้ยง   นายหิ้มจึงตัดสินใจเอากุหลาบมาฝากไว้กับนางขุ้ยผู้เป็นแม่  ตั้งแต่กุหลาบอายุได้ ๘ ขวบ  พราะนางขุ้ยขณะนั้นก็ไม่มีใครอยู่ด้วย  เนื่องจากลูกๆได้แต่งงานเเละมีครอบครัวไปอยู่ต่างหากกันหมดแล้ว
 นางขุ้ยมีลูก ๔ คน คือ
 คนที่หนึ่งชื่อ  นายหิ้ม  บิดาของกุหลาบ
 คนที่สองชื่อ  นายผิน  ปัจจุบันอยู่  ต. ประดู่  อ. ปากพะยูน  จ.พัทลุง
 คนที่สามชื่อ  นายส้อง  มีภรรยาแล้ว  อยู่ที่ ต.ชะแล้  หม่ ๓
 คนที่สี่ เป็นหญิงชื่อ  นางเป็ด  ไปมีสามีอยู่ที่จังหวัดตรัง
 ต่อมานางขุ้ยป่วยมีอาการค่อนข้างหนัก    และรู้สึกตัวว่าจะไปไม่รอดแล้ว   จึงให้เรียกลูกทั้ง ๔ คน   มาพร้อมหน้ากันแล้วพูดขึ้นว่า      “ มาพร้อมกันทุกคนแล้วนะลูก  แม่รู้ตัวว่าจะไม่รอดแล้ว  แม่จึงอยากแบ่งสมบัติให้กับลูกทั้ง   ๔  คน  ในขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่และยังมีสติดีอยู่  สมบัติของแม่ก็มีไม่มาก  แต่พอจะแบ่งให้ลูกๆได้ตามที่แม่มี”
 ลูกทั้ง  ๔ คน  เมื่อแม่พูดเช่นนั้นแล้ว     ต่างก็ไม่สบายใจที่ผู้บังเกิดเกล้าจะจากไปแต่ก็รู้สึกยินดีที่แม่จะได้แบ่งสมบัติให้เรียบร้อย  จะไม่ต้องยุ่งยากในภายหลัง  จึงได้พูดขึ้นว่า   “ แบ่งเสียให้เรียบร้อยให้สมบูรณ์     ดีแล้วแม่       จะไม่ยุ่งยากภายหลัง  เมื่อไม่มีแม่แล้ว”
 นางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า  “ ที่นา  แม่จะแบ่งให้   แปลงไหนจะให้ลูกคนไหน   แม่จะบอกไว้   แบ่งให้เท่าๆกันทั้ง  ๔ คน   เพื่อไม่ให้ทะเลาะกันในภายหลัง   แม่จะทำไว้ให้ถูกต้อง  แต่แม่จะแบ่งสมบัติออกไว้  ๕  ส่วน  คือ  ส่วนที่ ๕ เมื่อแม่ตายไปแล้วแม่จะให้กับกุหลาบมัน  เพราะอี่สาวกุหลาบ  แม่นำมาเลี้ยงไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย   ลูกทุกคนจะเห็นด้วยหรือไม่  กุหลาบนี้เมื่อโตขึ้นแล้วก็ได้เลี้ยงดูช่วยเหลือแม่          ได้หุงข้าวหุงปลา  ปฏิบัติแม่เมื่อเจ็บไข้ไม่สบาย  รวมทั้งอาหารการกินต่างๆกุหลาบก็เป็นผู้จัดทำ   ฉะนั้นนาแปลงนี้  แม่จะให้กับอี่สาวกุหลาบมัน  “ ลูกทั้ง ๔ คนก็ยินยอมเห็นด้วย”
เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว        ต่อมา  นางขุ้ยก็ได้ถึงแก่กรรมลง  ลูกหลาน ญาติพี่น้องได้จัดการศพเรียบร้อยดังกล่าวแล้ว
 เมื่อเผาศพนางขุ้ยเสร็จเรียบร้อยแล้ว        ล่วงมาได้  ๓ คืน  พวกลูกๆทั้ง ๓ คน  ( เว้นคนพี่ผู้เป็นพ่อของกุหลาบ ) มาปรึกษาเห็นต้องกันว่า        “ นาแปลงที่เป็นส่วนผีที่จะให้กุหลาบนั้น  จะแบ่งให้อีกทำไม  ในเมื่อพ่อของกุหลาบก็ได้ส่วนแบ่งแล้ว     พวกเรา ๓ คนมาแบ่งกันเองดีกว่า  แล้วก็เอามาแบ่งกันเสียเอง ๓ คน”
 ส่วนนางหิ้มก็พูดไม่ออก  และก็ไม่สนใจ     เพราะไม่อยากทะเลาะกับน้องๆในฐานะที่เป็นพี่  กุหลาบจึงไม่ได้อะไรเลยทั้งๆที่ได้เลี้ยงดูปฏิบัติย่ามา  และย่าก็ได้แบ่งสมบัติไว้ให้ก่อนตาย  จึงทำให้ร้อนถึงผีนางขุ้ยซึ่งตายไปแล้ว
หลังจากเผาศพนางขุ้ยแล้วได้   ๓   วัน      สามเณรจีนซึ่งบวชหน้าไฟ   คุณยาย  ได้ตั้งใจว่าจะสึกมาก่อนหน้านี้  แต่ยังหาวันดีไม่ได้  ก็ทำให้ไม่สบายใจ  ข้าวก็ไม่ยอมฉัน  และไม่ยอมสังคมกับภิกษุสามเณรอื่นๆด้วย
ในกุฏิที่สามเณรจีนอยู่นั้น มีพระเณรอื่นอยู่ด้วย     แต่อยู่คนละห้อง  ในคืนนั้นพระเณรได้ยินประตูห้องสามเณรจีน
ปิดดังโครม      ต่างก็เข้าใจว่าสามเณรจีนเข้านอน  และต่างก็รู้ด้วยว่าสามเณรจีนไม่ค่อยสบายใจ       จึงไม่อยากเข้าไปรบกวนคุยด้วย  แต่เพียงคู่เดียวหลังจากนั้น      พระเณรก็ได้ยินเสียงสามเณรจีนเปิดประตูออกจากห้อง  ก็พากันสงสัยและเปิดประตูออกมาดู           และเข้าไปดูในห้องสามเณรจีนก็ไม่พบ  พากันเอาไฟฉายไปค้นหาทั่ววัดก็ไม่พบ  ก็สงสัยว่าสามเณรจีนไปผูกคอตาย  พระเณรจึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกัน
หลังจากนั้นประมาณ   ๑ ชั่วโมง  สามเณรจีนก็ขึ้นไปบนวัด  เพราะวัด
ชะแล้ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ  ซึ่งมีบันไดขึ้นมาด้านศาลาการเปรียญ           (โรงธรรม) และเมื่อสามเณรจีนไปถึงวัดแล้ว   พระเณรในวัดได้ยินเสียงหมาเห่าหอน       ได้ตามไปประมาณ  ๒๐ วา  พระเณรก็สงสัย   แต่พอเงียบเสียงหมา  สามเณรจีนก็ถึงห้อง     พระจึงเข้ามาถามว่า “ เณรไปไหนมา”
 เมื่อถูกสอบถามสามเณรจีนก็ได้สติข้นมาทันที        จึงบอกว่าแม่เฒ่า (ยาย ) มาพาไปที่เปลว ( ป่าช้า ) ก็เดินตามหลังแม่เฒ่าและคุยกันไป   ผมสำคัญว่าแม่เฒ่ายังมีชีวิตอยู่  ผมใจลอยนึกไปว่าแม่เฒ่ายังไม่ตาย  พอไปถึงป่าช้า  แม่เฒ่าบอกว่า     “ เณร นิมนต์นั่งลง  แม่เฒ่าจะพูดให้ฟัง  ก็เลยนั่งคุยกับแม่เฒ่า  โดยหันหน้าไปทางทิศใต้    นั่งใกล้กับแม่เฒ่า”  แม่เฒ่าได้พูดว่า   “ เณร,แม่เฒ่าได้ตายไปแล้ว  แต่แม่เฒ่ายังมีความกังวลใจ  จะไปไหนก็ไม่ได้ยังมีความกังวลใจในอี่สาวกุหลาบอยู่  จะไปเกิด (ในภพอื่น )  ก็ไม่ได้           ก็เลยพาเณรมาปรึกษาเรื่องสมบัติที่แม่เฒ่าแบ่งไว้ให้นั้น  เพราะแม่เฒ่าได้แบ่งไว้ให้ลูกแล้วทั้ง   ๔  คน     คนละส่วน  แต่อีกส่วนหนึ่งแม่เฒ่า  บอกแล้วว่ายกให้แก่อีสาวกุหลาบมัน   เพราะเป็นเด็กกำพร้าแม่มาแต่เล็ก (ทั้ง ๆ ที่ตกลงกันแล้ว)  แต่เมื่อแม่เฒ่าตายแล้ว  ทำไมลูกทั้ง  ๓  คน      เอาส่วนของกุหลาบมาแบ่งกันเสียเอง  ไม่ยอมให้กุหลาบ  ทำไมลูกทั้งจึงมาคิดทรยศโกงของหลาน    เรื่องนี้แหละที่แม่เฒ่าต้องเรียกเณรมาปรึกษา   ขอให้เณรไปตามแม่ของเณรมาเร็วๆ  ให้เณรไปตามแม่เณรที่จังหวัดตรัง  แล้วคืนสมบัติส่วนนี้ให้กุหลาบเสีย        มิฉะนั้นแล้วแม่เฒ่าจะมีความกังวลใจอยู่อย่างนี้ไม่ได้ไปเกิด ( ในภพอื่น ) แม่เฒ่าจะเฝ้าสมบัติอยู่นี่  พรุ่งนี้ขอให้เณรรีบไปตามโยมแม่มา”
 “ เมื่อพูดตกลงกันเเล้ว      แม่เฒ่าก็มาส่งผม และเดินกันมาถึงวัดนี้แหละ ครับ  แม่เฒ่ามาพาผมไปป่าช้าและเดินมาส่งผมถึงวัด     ผมก็ยังรู้สึกว่าแม่เฒ่ายังไม่ตาย  แต่พอแม่เฒ่ากลับไปแล้วผมกลับได้สติขึ้นทันที  และจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดังที่เล่ามานี่แหละ”สามเณรจีนพูดในที่สุด
 เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน  เมื่อพระเณรได้ฟังดังนั้น  ต่างก็พากันขนหัวลุกด้วยความกลัว  แล้วพูดว่า  “ ป้าขุยเป็นผีมีศีลธรรม     มีธรรมะ  แกแบ่งสมบัติไว้ให้ลูกทุกคนถูกต้องแล้ว”
 ในคืนต่อมาจากนั้น  หมาในวัดพากันเห่าหอนอยู่ที่บันไดทางขึ้น     สู่วัดชะแล้อย่างหวาดกลัว ( เพราะเสียงหมาเห่าหอนในยามค่ำคืนเช่นนั้น   เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทยชนบทว่า  หมามันเห็นผีมันจึงเห่าหอน  และในชนบทแถบนั้นก็ไม่มีไฟฟ้าด้วย )       พระเณรต่างพากันกลัวไม่กล้านอน  ด้วยคิดว่าผีป้าขุ้ยมาอีกแล้ว      สามเณรก็กลัวเช่นกัน    จนกระทั่งหมามันหอนเสียงโหยหวนต่อกันลงไปทางเบื้องล่าง        อันเป็นทางมุ่งไปยังป่าช้าประจำหมู่บ้าน  แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น
 แต่ในคืนต่อมาหลังจากคืนนั้น  ผีนางขุ้ย    ก็มาเข้าสิงสามเณรผู้เป็นหลานของตน  จึงเกิดเรื่องโกลาหลหนักขึ้น  คือ  สามเณรจีนร้องไห้บ้าง   หัวเราะบ้าง  พูดบ้าง  พระเณรจึงเข้าไปในห้องสามเณรจีนแล้วถามว่า  “ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ “
 สามเณรก็พูดขึ้นว่า “ ฉันห่วงสมบัติ       เพราะกุหลาบมันไม่ได้ส่วนแบ่ง  และฉันอยากจะรู้ว่า  ที่ให้เณรไปตามโยมแม่ที่ จ. ตรัง นั้น  เณรไปแล้วหรือยัง”
 พระเณรก็ได้บอกว่า  “ เณรได้ไปตามแล้ว       ป้ากลับเสียทีเถิดเมื่อเณรได้บวชแล้วและได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แล้ว  มาทำไมอีก”
 ผีนางขุ้ยในร่างของเณรตอบว่า      “ ฉันไม่ไปก่อนละต้น  เดี่ยวก่อนไปตามลูกฉันมาก่อน  ยกเว้นเณรผินเพราะมันอยู่ไกล      และขอให้หาหมอผีมาด้วย  เพื่อมาไล่ผี  เพราะเกรงว่า  จะมีผีอื่นมาหลอกหลอนเอาได้”     ( คำว่า “ ต้น” เป็นคำที่ชาวปักษ์ใต้เรียก พระสงฆ์บวชใหม่หรือที่พรรษาน้อยทั่วไป         ย่อมาจากคำไทยโบราณว่า  “ ชีต้น”  ส่วนคำว่า “ เณร”  เป็นคำภาษาใต้ของไทย           นอกจากจะหมายถึงสามเณรทั่วไปแล้ว  ยังใช้เรียกทิดทุกคนว่า  “เณร” อีกด้วย    ดังนั้นคำว่า  “ เณรผิน”  ในที่นี้จึงหมายถึงนายผิน  ผู้เป็นลูกชายคนที่สองของนางขุ้ย  ซึ่งอยู่ไกลถึงจังหวัดพัทลุงนั้นเอง )
 ก็ในหมู่บ้านชะเเล้นั้นได้มีผู้ที่เข้าใจเรื่องการไล่      ผีอยู่คนหนึ่ง  คือ  นายเฉี้ยง  และนายเฉี้ยงคนนี้    เป็นหลานของนางขุ้ยเองบ้านอยู่ใกล้วัดชะแล้             จึงได้ถูกเชิญมาได้สะดวก  และผู้ที่มาในครั้งนี้  นอกจากนายเฉี้ยงแล้ว            ก็มีคนใกล้เคียงมาดูเหตุการณ์ด้วยจำนวนหลายคน
 นายเฉี้ยงเมื่อมาถึงก็พิจารณาดูแล้วรู้ว่า        สามเณรถูกผีเข้าแน่   จึงถามขึ้นว่า “ ใครมาหยอกเณร  ตายไปแล้วก็ไปสู่ที่สุขเสียซิ     อย่ามาพัวพันเกี่ยวข้องอยู่กับพระเณร  ไป  ไปเสีย”
 ผีนางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า  “ อ๋อ  เณรเฉี้ยง   มึงอย่าไล่กู  มึงเป็นลูกพี่สาวกู  นี่สมบัติกูแบ่งปันให้ถูกต้องแล้ว  ภายหลังน้อง ๓ คนมันมายักยอกเอาไป   ไม่ให้หลานสาวมัน  จะเอาแต่พวกมัน ๓ คน  ไหน เณรส้องอยู่ไหน  มาหรือเปล่า      (  หมายถึงนายส้อง  ลูกชายคนที่ ๒ ของนางขุ้ย )”
 นายเฉี้ยงตอบว่า  “นั่งอยู่ข้างนอก”  ( หมายถึงนั่งอยู่ข้างนอกห้อง )
  “ บอกให้เข้ามา  กูจะถามเณรส้องมัน”  ผีนางขุ้ยกล่าวขึ้น
 เมื่อนายส้องเข้าไปในห้องแล้ว  ผีนางขุ้ยในร่างของสามเณรก็พูดขึ้นว่า “ บ้านมึงมีอะไรดีนะ  กูไปแล้วกูตั้งใจไปบ้านมึง  ไปถึงแล้วได้แต่วนเวียนอยู่ที่ประตูบ้าน  กูเข้าไปไม่ได้”
  แล้วนายส้องจึงพูดขึ้นว่า “ แล้วทำไมแม่ไม่ไปพูดกับฉันล่ะ”
 “ ก็กูตั้งใจจะไปพูด กับมึงนั้นแหละลูก     แต่กูเข้าไปไม่ได้มึงใจดำ  นาแม่แบ่งไว้ถูกต้อง  แต่สูไปแบ่งปันกันแต่พวกสู”  ผีนางขุ้ยพูด   ( สู เป็นคำไทยเดิมซึ่งยังใช้กันพูดโดยทั่วไปในชนบทภาคใต้ )
  นายส้องพูดว่า  “ แม่อยากให้ลูกเกิดมามาก      สมบัตินิดเดียวจึงปันกันไม่พอ”
 เมื่อได้ฟังเช่นนั้นผีนางขุ้ยจึงพูดว่า  “ กูปันให้แล้วลูก       แต่พวกสูจะเอาเหลือ ( เอาเกิน )  สูจะเอาให้มาก  เมื่อก่อนกูตาย ก็ได้ถามลูกๆกันทุกคน เห็นด้วยกันแล้ว”    แล้วจึงหันไปถามนายหิ้มพ่อของกุหลาบซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วยว่า  “ เณรหิ้ม  มึงจะว่าอย่างไร  ลูกมึงที่แม่พามาเลี้ยงไว้ไม่ได้สมบัติอะไรเลย”
 แต่นายหิ้มไม่ยอมตอบเลย  คงจะพูดไม่ออกในฐานที่เป็นพี่  และกุหลาบก็เป็นลูกของตนด้วย  แล้วผีนางขุ้ยจึงพูดว่า  “ ถ้ามึงไม่ตอบ  กูจะไม่ไปไหน  กูจะอยู่ที่นี่”
 เมิอได้ฟังดังนั้น  นายหิ้มจึงพูดขึ้นว่า  “ แม่ไปอยู่ที่ที่สุขเถิดแม่      เขาค่อยแบ่งกันเอง  อย่ามาเกี่ยวข้องอยู่เลย”
 ต่อจากนั้น       นายเฉี้ยงได้พูดแทรกขึ้นว่า  “ ถ้าไม่ไป  จะเอาดินสอพองมาสัก  มันเป็นผีอื่นมาแทรก”    ( การเอาดินสอพองมาสักหรือขีด  เช่น  สักหรือขีดรอบข้อมือข้อเท้าของคนที่ถูกผีเข้า    พร้อมกับบริกรรมคาถาสำทับลงไปด้วย  เป็นวิธีการอย่างหนึ่งของหมอผีในการไล่ผี )
 “ อย่าสักกูเลย  เณรเฉี้ยง กูเป็นน้าสาวมึง มึงอย่าไล่กู”  พอพูดเพียงเท่านี้ผีนางขุ้ยก็ออกจากร่างของสามเณร        แล้วสามเณรจีนก็ได้รู้สึกตัวทันที  และทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกโล่งใจ
 ในที่สุด  ได้ทราบว่า       ลูกๆของนางขุ้ยทั้ง ๓ คนที่ไม่ยอมก็ต้องแบ่งที่ดินอันเป็นส่วนของกุหลาบ      ให้แก่กุหลาบไปตามคำสั่งของเเม่เพราะเชื่อในเรื่องที่เกิดขึ้น  ซึ่งเห็นประจักษ์ได้ด้วยตนเองและบุคคลอื่นเป็นอันมาก  ทั้งไม่ต้องการให้แม่ของตนซึ่งตายไปแล้วมีความกังวลห่วงใยในเรื่องนี้  จะได้ไปเกิดในสุคติตามความปรารถนาของทุกคน
 เรื่องนี้  เป็นการพิสูจน์การตายแล้วเกิดใหม่ได้ชัดเจนอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น